-->

วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2557

พจนานุกรม หมวดอักษร ก

กด ก. บังคับลง ข่ม ทับ ดันให้ลงด้วยมือ ส่วนของมือ แขน ศอก เข่า เท้า ส่วนของเท้า อวัยวะอื่นใด หรือวัสดุ อุปกรณ์อื่น สำหรับตรวจวินิจฉัย ป้องกัน บำบัดโรค หรืออาการบางอย่าง เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ หรือฟื้นฟูสมรรถภาพของร่างกาย
กระโจม น. ผ้าที่คลุมบนโครง ซึ่งโบราณมักทำด้วยไม้ไผ่เพื่อเข้าไปอยู่ให้เหงื่อออก
กระดูกงูเหลือม น. กระดูกสันหลังของงูเหลือม ตำราสรรพคุณยาไทยว่า มีรสเย็นเมาเบื่อ สรรพคุณดับพิษกาฬ เป็นต้น. ดู งูเหลือม ประกอบ
กระดูกไหปลาร้า ดูใน ไหปลาร้า
กระบองราหู ดู ลำบองราหู
กระเพาะข้าว น. ๑. กระเพาะอาหาร.
๒. ลำไส้ใหญ่ตอนบน (อันตัง), กระเพาะเข้า กะเพาะเข้า กะเภาะข้าว กะเภาะเข้า เพาะเข้า หรือ เภาะเข้า ก็เรียก
กระเพาะเข้า ดู กระเพาะข้าว
กระเพาะน้ำ น. กระเพาะปัสสาวะ, กะเพาะน้ำ กะเภาะน้ำ เพาะน้ำ หรือ เภาะน้ำ ก็เรียก.
กระวาน น. ๑. เครื่องยาที่เป็นผลแก่แห้งของพืชที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amomum testaceum Ridl. ในวงศ์ Zingiberaceae เครื่องยานี้มีชื่อสามัญว่า camphor seed, clustered cardamom, round Siam cardamom หรือ Siam cardamom ตำราสรรพคุณยาไทยว่า มีรสเผ็ดร้อน สรรพคุณเป็นยาขับลม ขับเสมหะ บำรุงธาตุ ผสมกับยาระบายเพื่อลดอาการไซ้ท้อง แก้คลื่นเหียนอาเจียน ขับโลหิต กระจายเลือดและลม
๒. พืชที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amomum testaceum Ridl. ในวงศ์ Zingiberaceae เป็นไม้ลมลุก เหง้าทอดไปตามดิน ใบรูปขอบขนาน กาบใบหุ้มซ้อนเป็นลำต้นเทียม ช่อดอกแบบช่อเชิงลด รูปกรวย ออกจากเหง้า มีใบประดับเรียงเวียนซ้อนสลับตลอดช่อ ในซอกใบประดับมีดอกสีเหลืองอ่อนหรือขาวยื่นออกมา ผลแบบผลแห้งแตก มี ๓ พู สีนวล, กระวานขาว กระวานจันท์ กระวานดำ กระวานแดง หรือ กระวานโพธิสัตว์ ก็เรียก
กระวานขาว, กระวานจันท์, กระวานดำ, กระวานแดง, กระวานโพธิสัตว์     ดู กระวาน
กระษัย, กระไษย์ ดู กษัย
กระสาย, กระสายยา น. เครื่องแทรกยา เช่น น้ำ เหล้า น้ำผึ้ง น้ำดอกไม้ ในทางเภสัชกรรมแผนไทยใช้แทรกยาเพื่อช่วยให้กินยาง่ายข้น และหรือเสริมฤทธิ์ของยาให้มีสรรพคุณดีขึ้นดังตำราเวชศึกษา [๑๖/๑๗] ตอนหนึ่งว่า "... ยาสั้นเมือง เอาจันทน์แดง ๑ จันทน์ชะมด ๑ จันทนา ๑ พิษนาศน์ ๑ ระย่อม ๑ ไคร้เครือ ๑ มหาละลายทั้ง ๒ คุคะ ๑ มหาสดำ ๑ ... สรรพยา ๒๘ สิ่งนี้ทำให้เป็นจุณ แล้วจึงเอานอแรด กรามแรด งาช้าง กรามช้าง เขากวาง ฝนเอาน้ำเสมอภาค ละลายน้ำดอกมะลิเป็นกระสายทำแท่งไว้ ละลายน้ำซาวข้าวก็ได้ น้ำดอกไม้ก็ได้ กินแก้สารพัดใช้ ..." หรือใช้เป็นเครื่องแทรกยาเพื่อช่วยให้ปรุงเป็นรูปแบบยาที่ต้องการ ดังคัมภีร์ประถถมจินดา [๑๔/๙๓] ตอนหนึ่งว่า "... ยาแก้ซางแดงขนานนี้ ท่านให้เอา บอระเพ็ด เปลือกมะตูม ๑ หอมแดง ๑ การะบูร ๑ พริกไทย ๑ ขิงแห้ง ๑ กะเทียม ๑ รวมยา ๗ สิ่งเอาเสมอภาคทำเป็นจุณ บดทำแท่งไว้ละลายสุรา กินหาย ..." ,  หากเป้นของเหลวมักเรียก น้ำกระสาย หรือ น้ำกระสายยา. (ส. กษาย)
กระไสย ดู กษัย
กระหวัด ก. ๑. ตวัด, รัดรึง
๒. ย้อน
กรานพลู, กรานพูล, กรามพลู, กรามพูล   ดู กานพลู
กรีสัง [กะรีสัง] น. อาหารเก่า คูถ อุจจาระ ขี้ เป็นองค์ประกอบ ๑ ใน ๒๐ สิ่งของธาตุดิน
กลละ น. รูปเริ่มแรกที่ปฏิสนธิในครรภ์มารดา ซึ่งจะเจริญเติบโตต่อไปเป็นทารก, เขียนว่า กะละละ ก็มี
กล้องยานัตถุ์ น. อุปกรณ์นัดยาเข้าจมูก โดยทั่วไปมักทำเป็นหลอดโลหะโค้งรูปตัวยู ด้านสั้นใช้อมเพื่อเป่า ด้านยาวใช้สอดเข้ารูจมูก
กล่อมท้อง น. วิธีการนวดอย่างหนึ่ง ใช้กับผู้หญิงในระหว่างตั้งครรภ์ไตรมาสสุดท้าย โดยผู้นวดใช้ฝ่ามือนวดบริเวณท้อง ช่วยในการดูแลครรภ์และช่ว่ยให้คลอดง่าย, นวดกล่อมท้อง ก็เรียก
กล่อมนางนอน น. ยาแผนไทยขนานหนึ่ง ใช้แก้ระส่ำระสาย แก้ถ่ายเป็นเลือด แก้ร้อน ล้อมตับดับพิษฝี พิษไข้ พิษตานซาง เป็นต้น มีตัวยา วิธีปรุง วิธีใช้ และสรรพคุณ ดังคัมภีร์ธาตุวิภังค์ [๑/๑๕๖-๗] ตอนหนึ่งว่า "... ขนานหนึ่งชื่อกล่อมนางนอน ล้อมตับไว้มิให้ตับทรุดลงได้ ท่านให้เอาโกฏทั้ง ๙ เทียนทั้ง ๕ พิกุล ๑ ใคร้เครือ ๑ สังกะระนี ๑ เกสรบัวทั้ง ๕ บุนนาค ๑ สาระภี ๑ มะลิ ๑ กฤษณา ๑ กะลำภัก ๑ ขอนดอก ๑ ชะลูด ๑ ชะเอมเทศ ๑ น้ำประสารทอง ๑ ผงใบลานแก่ ๑ กระดองปูป่า ๑ ชะมด ๑ ภิมเสสน ๑ เอาเสมอภาค น้ำดอกไม้เปนกระสาย บดแล้วใส่ขันสำฤทธิ รมควันเทียนให้สบกันแล้วทำแท่งไว้ ฝนด้วยน้ำกฤษณากินแก้ระส่ำระสาย ถ้าลงเปนมูกเปนเลือด ละลายน้ำกล้วยตีบ ถ้าจะแก้เสมหะละลายน้ำเกลือ น้ำมะแว้งเครือ ถ้าแก้ร้อนน้ำดอกไม้ทั้งกินทั้งชะโลม ถ้าจะล้อมตับดับพิศม์ฝีพิศม์ไข้พิศม์ตานทรางขโมยพิศม์ฝีกาล เอารากมะผู้ ๑ มะเมีย ๑ รากมะเฟือง ๑ รากต่อไส้ ๑ ฝาง ๑ ต้มเอาน้ำละลายยานี้กินหายแล ..."
กล่อมมดลูก ก. เร่งให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น โดยการประคบบริเวณท้อง
กลางหน น. กลางทาง ระหว่างทาง ดังตำรายาศิลาจารึกในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม [๔/๓] ตอนหนึ่งว่า "... โอมไชยศรีสิทธิสารประเสริฐ อัญเชิญเถิดแม่ซื้อเอ๋ย ครูตูเฉลยบอกให้ รู้จักลักษณะแม่  ซื้อกระแหน่เมืองบน แม่ซื้อกลางหนและเมืองล่าง ซึ่งให้โทษต่าง ๆ  กัน ..."
กลางหาว น. กลางแจ้งหรือบนท้องฟ้า
กล้านัก ว. มีอาการรุนแรงขึ้น มีอาการหนักขึ้น ดังคัมภีร์มุจฉาปักขันทิกา [๑๔/๕๐๔] ตอนหนึ่งว่า "... ถ้ามิฟัง พิษนั้นกล้านัก มักเผาเอาเนื้อนั้นสุก เน่าเข้าไปแต่ปลายองคชาตทุกวัน ๆ  ก็ดี ..."
กวาด ก. เอายาป้ายในปาก คอ ลิ้นของทารกและเด็กโดยใช้นิ้วหมุนโดยรอบ มักใช้นิ้วชี้ ดังคัมภีร์ประถมจินดา [๑/๓๕๔] ตอนหนึ่งว่า "... รวมยา ๑๙ สิ่งนี้เอาเสมอภาคย์ทำเปนจุณ บดปั้นแท่งไว้ลลายน้ำมนาว กวาดทรางกระแนนะหายวิเสศนัก ...", กวาดยา ก็เรียก
กวาดยา ดู กวาด
กษัย น. โรคกลุ่มหนึ่ง เกิดจากความเสื่อมหรือความผิดปรกติของร่างกาย จากความเจ็บป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาหรือรักษาแล้วไม่หาย ทำให้ร่างกายซูบผอม กล้ามเื้อและเส้นเอ็นรัดตึง โลหิตจาง ผิวหนังซีดเหลือง ไม่มีแรง มื้อเท้าชา เป็นต้น ตำราการแพทย์แผนไทยแบ่งออกเป็น ๒ กลุ่มใหญ่ ๆ  ตามสาเหตุของการเกิดโรค คือ กษัยที่เกิดจากธาตุสมุฏฐาน (มี ๘ ชนิด ได้แก่ กษัยกล่อน ๕ ชนิด กับกษัยน้ำ กษัยลม และกษัยเพลิง) กับกษัยที่เกิดจากอุปปาติกะโรค (มี ๑๘ ชนิด ได้แก่ กษัยล้น กษัยราก กษัยเหล็ก กษัยปู กษัยจุก กษัยปลาไหล กษัยปลาหมอ กษัยปลาดุก กษัยปลวก กษัยลิ้นกระบือ กษัยเต่า กษัยดาน กษัยท้น กษัยเสียด กษัยเพลิง กษัยน้ำ กษัยเชือก และกษัยลม), เขียนว่า กระษัย กระไษย์ กระไสย หรือ ไกสย ก็มี ดังคัมภีร์กระษัย [๑/๑๕-๑๖] ตอนหนึ่งว่า "... จะกล่าวลักษณกระไสยโรค ซึ่งพระอาจารยเจ้า ประมวนไว้มีประเภท ๒๖ จำพวก แต่กระไสย ๘ จำพวกนั้นคือ กระไสยกล่อน ๕ กระไสยน้ำ ๑ กระไสยลม ๑ กระไสยเพลิง ๒ ทั้ง ๘ จำพวกนี้ เกิดแต่กองสมุฏฐานธาตุ แจ้งอยู่ในคำภีร์วุฒิโรค กล่าวคือกล่อน ๕ ประการโน้นเสรจแล้ว ในที่นี้จะกล่าวแต่กระไสยอันบังเกิดเปนอุปาติกะโรค ๑๘ จำพวกนี้ คือกระไสยล้น กระสไยราก กระไสยเหลก กระไสยปู กระไสยจุก กระไสยปลาไหล กระไสยปลาหมอ กระไสยปลาดุก กระไสยปลวก กระไสยลิ้นกระบือ กระไสยเต่า กระไสยดาน กระไสยท้น กระไสยเสียด กระไสยเพลิง กระไสยน้ำ กระไสยเชือก กระไสยลม ประมวนเป็น ๑๘ จำพวกด้วยกันดังกล่าวมานี้ ..."
กษัยกล่อน น. โรคกษัยกลุ่มหนึ่ง เกิดจากความผิดปรกติของธาตุทั้ง ๔ ตำราการแพทย์แผนไทยแบ่งออกเป็น ๕ ชนิด คือ กษัยกล่อนดิน กษัยกล่อนน้ำ กษัยกล่อนลม กษัยกล่อนไฟและกษัยเถา
กษัยกล่อนดิน น. กษัยกล่อนชนิดหนึ่ง เกิดจากกอาากรท้องผูกเรื้อรังที่ไม่ได้รับการรักษา หรือรักษาแล้วไม่หายขาด เป็นได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง รักษายาก ตำราการแพทย์แผนไทยว่า เกิดจากความผิดปรกติของธาตุดิน ผู้ป่วยมักมีก้อนที่หััวหน่าว ปวดเมื่อยทั้งตัว มีไข้ เบื่ออาหาร เป็นต้น ดังคัมภีร์กระษัย [๑/๕๕] ตอนหนึ่งว่า "... จะกล่าวด้วยลักษณกระไสยโรคอนึ่ง อันบังเกิดเพื่อปถวีธาตุวิบัตินั้นเปนเคารบ ๒๒ ลักษณเมื่อจะบังเกิดนั้นตั้งเปนก้อนขึ้นตามน่าเหน่า ทั้งซ้าย ทั้งขวา ก็ดี แล้วเลื่อนลงมาอัณธา กำเริบฟกขึ้นต้องเข้ามิได้ จะกระทบแต่ผ้านุ่งก็มิได้ ให้เจบเสียวตลอดถึงหัวใจ ให้เสียดตามราวข้างแลทรวงอก ให้ปวดขบในอกเปนกำลัง แลให้เจบไปทั่วสรรพางค์กาย ให้เมื่อยขบขัดหัวเหน่าแลน่าตะโภก ให้ถ่วงตึ่งลงไปทวารเบา แลให้ท้องขึ้นเปนกำลัง บริโภคอาหารมิได้ไม่มีรศ บางทีให้จับสบัดร้อนสะท้านหนาว มักให้หยากเปรี้ยว หยากหวาน ซึ่งหยากทั้งนี้มิได้ชอบแก่โรค บุรุษย์สัตรีเปนดุจกัน อันว่าลักษณกระไสยจำพวกนี้เกิดเพื่อลมพรรดึก คือกองปัตฆาฏกำเนิด แต่ปถวีให้เปนเหตุ ตามอาจารย์กล่าวไว้ดังนี้ ..."
กษัยกล่อนน้ำ น. กษัยกล่อนชนิดหนึ่ง เกิดจากความผิดปรกติของธาตุน้ำ ได้แก่ เลือด น้ำเหลือง หรือเสมหะ อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้ง ๓ อย่าง เป็นได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง รักษายาก ผู้ป่วยมักมีอาการเจ็บปวดมากบริเวณยอดอก อาจลามถึงตับและหัวใจได้ ดังคัมภีร์กระษัย [๑/๕๓] ตอนหนึ่งว่า "... จะกล่าวด้วยลักษณกระไสยโรคอนึ่ง อันบังเกิดเพื่อ อาโปธาตุวิบัดนั้นเปนเคารบ ๒๑ แลเมื่อลักษณจะบังเกิดนั้น มีประเภท ๓ ประการ ประการหนึ่งเกิดเพื่อโลหิต ประการหนึ่งเกิดเพื่อน้ำเหลือง ประการหนึ่งเกิดเพื่อเสมหะ แลกำเนิดซึ่งกล่าวมานี้จะเปนแต่ประการใด ประการหนึ่งก็ดี แลเปนทั้ง ๓ ประการก็ดี ท่านเรียกว่ากระไสยโลหิต ถ้าสัตรีเกิดใต้สะดือ ๓ นิ้ว ลักษณดังนี้มีอยู่ในคำภีร์โรคนิทานโน้นแล้ว ถ้าบุรุษย์ตั้งเหนือสะดือ ๓ นิ้ว ดุจจะกันกับสตรีอันนี้ วิถารอยู่ใในคัมภีร์มุจฉาปักขันทิกาโน้น ในทีนี้อาจาริยเจ้ายกกล่าวแต่ลักษณกระไสยโรคนั้นอย่างเดียว ถ้าแลกระไสยจำพวกนี้บังเกิดขึ้นแก่บุทคลผู้ใดแล้ว กระทำให้ปวดขบถึงยอดอก ให้เจบปวดดังจะขาดใจตาย บางทีตั้งลามขึ้นไปตับแลหัวใจ ดุจฝีมะเรงทรวงแลฝีปลวก ตามอาจารย์กล่าวไว้ดังนี้ ...", กษัยเลือด หรือ กษัยโลหิต ก็เรียก
กษัยกล่อนไฟ น. กษัยกล่อนชนิดหนึ่ง เกิดจากความผิดปรกติของธาตุไฟ เป็นได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง รักษายาก ผู้ป่วยมักมีอาการจุกเสียดแน่นหน้าอกมาก ร้อนอยู่ภายใน เหงื่อออกมาก เบื่ออาหาร เจ็บบริเวณยอดอกอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่รุนแรง ตาแดง มีไข้ตอนบ่าย อาจมีอาการบวมที่ใบหน้า ที่ท้อง หรือที่เท้า หากมีอาการบวมพร้อมกันทั้ง ๓ แห่ง จะรักษาไม่ได้ ดังคัมภีร์กระษัย [๑/๕๐] ตอนหนึ่งว่า "... อันบังเกิดเพื่อเตโชธาตุบัดนั้นก่อนเปนปฐม กล่าวคือเพลิงธาตุทั้ง ๔ มิได้เปนปรกติ เดินมิได้ตลอดขัดขังเข้า จึ่งให้วิปริตแปรปรวนเปนไปต่างต่าง บางทีตั้งในนาภีแลในอกกระทำให้แน่นน่าอกบริโภคอาหารมิได้ บางทีให้จุกขึ้นดังจะขาดใจตายแล้วให้ร้อนดังเพลิงเผา บางทีให้เสโทแตกทุกเส้นขนกระทำให้จักษุนั้นแดง ให้เจบรุม ๆ  อยู่ที่ยอดอก ให้จับแต่เวลาบ่าย แล้วให้บวมหน้า บวมท้อง บวมเท้า ถ้าแลบวม ๓ ถาน ดังกล่าวมานี้แล้วเมื่อใด แพทย์จะเยียวยามิได้เลย เปนอาการตัดตามคำอาจารย์ท่านกล่าวไว้ ภถ้าจะแก้ให้แก้ไปตามบุญตามกรรม์ โดยไนยสรรพคุณยานี้เถิด ..."
กษัยกล่อนลม น. กษัยกล่อนชนิดหนึ่ง เกิดจากความผิดปรกติของธาตุลม เป็นได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง รักษายาก ผู้ป่วยมักมีอาการจุกเสียดแน่นในท้อง ปวดท้อง ร้อนภายในทรวงอก แต่ตัวเย็น เป็นต้น ดังคัมภีร์กระษัย [๑/๕๒] ตอนหนึ่งว่า "... จะกล่าวด้วยลักษณกระไสยโรคอนึ่งอันบังเกิดขึ้นเพื่อวาโยธาตุนั้นเปนเคารบ ๒๐ แลวาโยกระไสยโรคจำพวกนี้เมื่อกำเริบนั้น ข้างขึ้น ข้างแรม ก็ดี ถ้าเวลาเช้าคลายสักน่อยดุจคนดี ถ้าเวลาบ่ายจึ่งเปน กระทำให้จุกขึ้นมาแล้วกัดขบตอดเอาทรวงอก ให้ร้อนในอก ให้ตัวเยน แล้วให้ปวดขบเปนกำลัง ถ้าจะบริโภคอาหารสิ่งใด สิ่งหนึ่งก็ดี ถ้าสิ่งอันร้อนจึ่งจะคลายสักน่อย ตามอาจารยท่านกล่าวไว้ดังนี้ ฯ ..."
กษัยจุก น. กษัยอันเกิดจากอุปปาติกะโรคชนิดหนึ่ง เกิดจากลมเข้าไปในเส้นเอ็นภายในท้อง ผูป่วยจะมีอาการจุกแน่นมาก ต้อนนอนคว่ำ ไม่สามารถนอนหงายได้ เพราะจะทำให้ปวดมาก ดังคัมภีร์กระษัย [๑/๒๑-๒๒] ตอนหนึ่งว่า "... จะกล่าวลักษณกระไสยโรคอันบังเกิดขึ้นเปนอุปาติกะ คือกระไสยจุกนั้นเปนคำรบ ๕ กล่าวคือวาโยนั้นเดินแทงเข้าไปในเส้น ในเอน ฝ่ายในเปนอาคันตุกวาต แลให้เส้นพองขึ้นในท้องให้จุก ให้แดกดังจะขาดใจ ให้นอนขว้ำร้องอยู่เปนนิจ จะนอนหงายขึ้นก็มิได้ มีเวทยาเปนกำลังดังกล่าวมานี้ ..."
กษัยเชือก น. กษัยอันเกิดจากอุปปาติโรคชนิดหนึ่ง เกิดขึ้นที่บริเวณตั้งแต่หัวหน่าวถึงหัวใจ ผู้ป่วยมีอาการแน่นชายโครง จุกเสียด อุจจาระขัด ปัสสาวะขัดและมีสีดำจับไข้เป็นเวลา สะบัดร้อน สะท้านหนาว เบื่ออาหาร ดังคัมภีร์กระษัย [๑/๔๖] ตอนหนึ่งว่า "... จะกล่าวลักษณกระไสยโรคอันบังเกิดขึ้นเปนอุปาติกะ คือ กระไสยเชือกนั้นเปนเคารบ ๑๗ ตั้งขึ้นแต่หัวเหน่าหยั่งขึ้นถึงหัวใจ แขงดุจแท่งเหล็กให้แน่นโครงเปนกำลัง ให้จุกเสียดแลให้ขัดอุจารปะสาวะ แลให้ปะสาวะนั้นดำเปนมัน แล้วกระทำให้บริโภคอาหารมิได้ให้อิ่มไป ให้จับเปนเวลา บางทีให้ร้อนบางทีให้หนาว ต่อนวดจึ่งคลายลงน่อยหนึ่ง ถ้ามิได้นวดให้ตึงแต่จะย่อตัวลงก็มิได้ ดุจบุทคลเอาเหลกมาเสียบไว้ มีความเวทนาเปนกำลัง ..."
กษัยดาน น. กษัยอันเกิดจากอุปปาติกะโรคชนิดหนึ่ง เกิดที่ยอดอก ทำให้กล้ามเนื้อตั้งแต่ยอดอกถึงหน้าท้องแข็งมาก ผู้ป่วยมีอาการปวด จุกเสียดแน่น กินข้าวไม่ได้ ถ้าลามลงถึงท้องน้อยทำให้ปวดอยู่ตลอดเวลา ถูกความเย็นไม่ได้ แต่ถ้าลามลงไปถึงหัวหน่าวจะรักษาไม่ได้ ดังคัมภีร์กระษัย [๑/๓๔-๓๕] ตอนหนึ่งว่า "... จะกล่าวลักษณกระไสยโรคอันบังเกิดขึ้นเปนอุปาติกะ คือกระไสยดานอันเปนเคารบ ๑๒ ตั้งอยู่ยอดอกแขงดังแผ่นสินลา ถ้าตั้งลามลงไปถึงท้องน้อยแล้วเมื่อใด กระทำให้ร้องครางอยู่ทั้งกลางวันกลางคืน ถูกเยนเข้ามิได้ ถ้าถูกร้อนค่อยสงบลงน่อยหนึ่ง แล้วกลับปวดมาเล่ากระทำให้จุกเสียดแน่นน่าอก บริโภคอาหารมิได้ ถ้าลามลงไปถึงหัวเหน่าแล้วเมื่อใด เปนอิติสยะโรค แทพย์จะรักษามิได้เลย ถ้าจะรักษารักษาแต่ยังมิลงหัวเหน่าดุจกล่าวไว้ดังนี้ ..."
กษัยเต่า น. กษัยอันเกิดจากอุปปาติกะโรคชนิดหนึ่ง เกิดจากเสมหะจับตัวเป็นก้อนแข็งเท่าฟองไข่เป็ดที่ชายโครงข้างซ้ายหรือขวา ผู้ป่วยมีอาการแน่นจุกที่ยอดอก มีไข้ ร่างกายซูบผอม ตัวเหลือง นานเข้าทำให้อุจจาระปัสสาวะเป็นเลือด รักษาไม่ได้ ดังคัมภีร์กระษัย [๑/๓๒-๓๓] ตอนหนึ่งว่า "... จะกล่าวลักษณกระไสยโรคอันบังเกิดขึ้นเปนอุปาติกะ คือกระไสยเต่านั้นเปนคำรบ ๑๑ เกิดเพื่อดานเสมหะตั้งชายโครงซ้าย ชายโครงขวาก็มี เท่าฟองเปด แล้วลามขึ้นมาจุกอยู่ยอดอก กระทำให้จับทุกเวลาน้ำขึ้น ให้กายซูบผอมผิวเนื้อเหลืองดังทาขมิ้น ครั้งแก่เข้าให้โลหิตตกทวารหนัก ทวารเบา โทษทั้งนี้ คือตัวกระไสยแตกออกเปนอะสาทิยโรค ..."
กษัยเถา น. กษัยกล่อนชนิดหนึ่ง เกิดจากความผิดปรกติของลมสันฑฆาตและลมปัตฑาต ซึ่งทำให้เสนพองและแข็งอยู่บริเวณหัวหน่าวไปจนถึงหลัง ผู้ชายจะเกิดทางด้านขวา ส่วนผู้หญิงจะเกิดทางด้านซ้าย รักษายาก ผู้ป่วยมักมีอาการเจ็บปวดในทรวงอก และปวดเสียวจนถึงบริเวณต้นคอ ปัสสาวะเป้นเลือด เป็นต้น ดังคัมภีร์กระษัย [๑๗/๗๓๖] ตอนหนึ่งว่า "... อันว่าไกษยเถานั้น มันเกิดเพื่อลมสันทฆาฏ แลลมปัตฆาฏ มันแล่นเข้าไปในลำเส้นนั้น มันให้เส้นพองแขงขวางอยู่หัวเหน่ามาประจบเกลี้ยวข้าง ถ้าผู้ชายมันขึ้นข้างขวา ถ้าผู้หญิงมันขึ้นข้างซ้าย มันเสียดตามชายโครงถึงยอดอก มันก็ให้ปวดขบเอาในอกตลอดเสียวถึงลำคอ ลางทีมันมักให้อาเจียรน้ำลาย ถ้ามันรากออกมาที่ปวดขบนั้น มันก็ค่อยสงบลงหน่อย ก็ทำเพศอาการประดุจฝีปลวก ฝีมะเร็งทรวง ผิดกันที่เป็นน้ำมูตร ถ้าเปนไกษยน้ำมูตรแดง แต่ว่าติดอยู่ข้างจะเหลืองสักหน่อย ถ้าเอาถ้วยรองไว้ ดูเมื่อมันนอนลง อยู่ที่ก้นถ้วยนั้น ดังปูนกินหมากแลถ้าเปนฝีสีมันดำแลโรคอันนี้มันเปนเพราะกินของคาวของหวานนักจึงเปน แต่เปน ๆ  หาย ๆ  ไปประมาณ ๑๒ ปี ๑๓ ปี แล้วกันก็กลายเป็นมานไกษย รักษาไม่ได้ ถ้าจะแก้ท่านให้แก้เมื่อมันยังอ่อนอยู่นั้น ..."
กษัยท้น น. กษัยอันเกิดจากอุปปาติกะโรคชนิดหนึ่ง อาการของโรคจะเกิดเมื่อกินอาหารเข้าไป ทำให้จุกแน่นบริเวณหน้าอกและชายโครง อาเจียน หายใจไม่สะดวก ถ้าเป็นมากจะรู้สึกแน่นตั้งแต่ท้องน้อยขึ้นไป กินข้าวไม่ได้ ดังคัมภีร์กระษัย [๑/๓๙] ตอนหนึ่งว่า "... จะกล่าวลักษณกระไสยโรค อันบังเกิดขึ้นเปนอุปาติกะ คือกระไสยท้นนั้นเปนเคารบ ๑๓ เกิดเพื่ออาหารที่บริโภค เมื่อท้องเปล่าอยู่นั้น ยังมิได้บริโภคอาหารเข้าไปก็สงบเปนปรกติดีอยู่ ครั้นบริโภคอาหารเข้าไปได้มากแลน้อยก็ดี จึ่งกระทำให้ท้นขึ้นมายอดอก บางทีให้อาเจียน ให้อวก บางทีให้แน่นหน้าอกแลายโครง ให้หายใจไม่ตลอดท้องดังประหนึ่งจะสิ้นใจตาย แล้วกระทำให้แน่นขึ้นมาแต่ท้องน้อย ชักเอาเภาะเข้าแขวนขึ้นไปไว้จะบริโภคอาหาร ก็มิได้ดุจดังกล่าวมา ..."
กษัยน้ำ น. กษัยอันเกิดจากอุปปาติกะโรคชนิดหนึ่ง ทำให้โลหิตน้ำเหลือง และเสมหะในร่างกาย อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้ง ๓ อย่างผิดปรกติ ผู้ป่วยมีอาการปวดขบถึงยอดอก แล้วลามขึ้นไปเหมือนเป็นฝีมะเร็งทรวงและฝีปลวก ดังคัมภีร์กระษัย [๑/๔๔] ตอนหนึ่งว่า "... จะกล่าวลักษณกระไสยโรคอันบังเกิดเปนอุปาติกะ คือกระไสยน้ำนั้นเปนเคารบ ๑๖ เกิดเพื่อโลหิต เพื่อน้ำเหลือง เพื่อเสมหะ ทั้ง ๓ นี้ เปนประการใดประการหนึ่งก็ดี เปนทั้ง ๓ ประการนั้นก็ดี เรียกว่ากระสไยโลหิตให้เปนเหตุ ถ้าสัตรีตั้งใต้สะดือ ๓ นิ้ว แจ้งอยู่ในคำภีร์มหาโชตรัต โน้นแล้ว ถ้าบุรุษย์ตั้งเหนือสะดือ ๓ นิ้ว แจ้งอยู่ในคัมภีร์มุจฉาปักขันทิกาโน้นแล้ว ในทีนี้จะกล่าวแต่กระไสย อย่างเดียว ถ้าบังเกิดขึ้นแต่ผูู้ใด กระทำให้ปวดขบถึงยอดอกดังจะขาดใจ แล้วตั้งลามขึ้นไปดังฝีมะเรงทรวงแลฝีปลวกดังนี้ ..."
กษัยปลวก น. กษัยอันเกิดจากอุปปาติกะโรคชนิดหนึ่ง เกิดจากลมในเส้นสันฑฆาต ทำให้มีอาการปวดที่ทรวงอก เป็น ๆ  หาย ๆ  เรื้อรัง นานเข้าจะทำให้ร่างกายผอมแห้ง ผิวซีด ดังคัมภีร์กระษัย [๑/๒๙] ตอนหนึ่งว่า "... จะกล่าวลักษณกระไสยโรคอันบังเกิดขึ้นเปนอุปาติกะ คือ กระไสยปลวกนั้นเปนเคารบ ๙ เกิดเพื่อสันทฆาฏ กระทำให้ปวดขบเอา ทรวงอกดังจะขาดใจตาย เปนแล้วหายไปเดือน ๑ เดือน ๒ เดือน ๓ เดือน จึ่งกลับเปนมาเล่า แต่เปนเช่นนี้หลายครั้งหลายหน ครั้นแก่เข้าทำให้ผิวเนื้อนั้นซีดแลเผือดผอมแห้งลง มิทันรู้ก็ว่าฝีปลวก ผิดกันแต่ที่มีบุบโพแลหาบุบโพมิได้ ถ้าฝีปลวกมีบุบโพ ถ้ากระไสยหาบุบโพมิได้ ลักษณดังนี้แพทย์พึงพิจารณาจงละเอียดเถิด ..."
กษัยปลาดุก น. กษัยอันเกิดจากอุปปาติกะโรคชนิดนหึ่ง เกิดจากโลหิตและน้ำเหลือง เกิดที่กระเพาะอาหารหรือมดลูก ผู้ป่วยมีอาการท้องโตคล้ายสตรีมีครรภ์ ๗-๘ เดือน ถ้าข้างขึนจะเจ็บหน้าอกมากจนแตะต้องไม่ได้ หอบสะอึก ถ้าข้างแรมจะเจ็บที่ท้องน้อยและหัวหน่าว อาจลามไปที่กระดูกสันหลังและต้นขาทั้ง ๒ ข้าง ดังคัมภีร์กระษัย [๑/๒๗-๒๘] ตอนหนึ่งว่า "... จะกล่าวลักษณกระไสยโรคอันบังเกิดขึ้นเปนอปาติกะ คือ กระไสยปลาดุกนั้นเปนเคารบ ๘ เกิดเพื่อโลหิตแลน้ำเหลืองระคนกันมีจิตรวิญญาณดุจดังปลาดุกเกิดขึ้นในเภาะเข้า ถ้าสัตรีจับเอามดลูก มีสันถานดังแม่หญิงทรงครรภ์ได้ ๗ เดือน ๘ เดือน บางทีแทงไปซ้ายไปขวา ถ้าข้างขึ้นยันไปเอายอดอก ให้เจบอกต้องลงมิได้ บางทีให้หอให้สอึก ถ้าข้างแรมเลื่อนลงมาอยู่ท้องน้อยแลหัวเหน่า บางทีค่ำลงไปกระดูก สันหลังตึงลงไปต้นขาทั้งสอง มิทันรู้ก็ว่ามีครรภ์ ..."
กษัยปลาหมอ น. กษัยอันเกิดจากอุปปาติกะโรคชนิดหนึ่ง เกิดในลำไส้ท้องน้อย หากเป็นตอนข้างขึ้นผู้ป่วยจะมีอาการปวดที่ตับ ม้าม ทำให้จุกแน่น หากเป็นข้างแรมผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้องน้อย และหัวหน่าว ปัสสาวะขัด อุจจาระขัด ดังคัมภีร์กระษัย [๑/๒๖] ตอนหนึ่งว่า "... จะกล่าวลักษณกระไสยโรค อันบังเกิดขึ้นเปนอุปาติกะ คือ กระไสยปลาหมอนั้นเปนเคารบ ๗ มีจิตรวิญญาณเกิดขึ้นในลำไส้ ถ้าข้างขึ้น ตัวกระไสยบ่ายศีศะขึ้นมากัดเอาชายตับ ชายม้าม แลปวดกระทำให้จุก ให้แดก ถ้าข้างแรม ตัวกระไสยบายศีศะลงไปท้องน้อยแลหัวเหน่า กระทำให้ขัดอุจาระ ขัดอสาวะ แลให้ผู้นั้นเจบปวดมีความเวทนาเปนกำลัง ให้ปวดร้องครางอยู่ดังจะขาดใจตาย ..."
กษัยปลาไหล น. กษัยอันเกิดจากอุปปาติกะโรคชนิดหนึ่ง ผู้ป่วยมีอาการปวดท้อง อุจจาระขัด ปัสสาวะขัด ปัสสาวะมีสีเหลืองหรือสีแดง ถ้ากินอาหารเข้าไปอาการปวดจะทุเลา แต่ถ้าไม่กินอาหารจะปวดท้องมากบริเวณชายตับและม้าม บางครั้งทำให้มีอาการเมื่อยขบตามข้อกระดูก เป็นต้น ดังคัมภีร์กระษัย [๑/๒๔] ตอนหนึ่งว่า "... จะกล่าวลักษณกระไสยโรค อันบังเกิดขึ้นเปนอุปาติกะ คือกระไสยปลาไหลนั้นเปนเคารบ ๖ ครั้นแก่เข้าจึ่งกระทำโทษ เอาหางนั้นชอนลงไปแทงเอาหัวหน่าว แลทวารหนัก ทวารเบา แล้วให้ขัดอุจาระ ขัดปะสาวะ ให้ปะสาวะเหลืองดังขมิ้น บางทีแดงดังน้ำฝางต้ม น้ำดอกคำ แลตัวกระไสยนั้นพันขึ้นไปตามลำไส้ศีศะหยั่งขึ้นไปถึงชายตับแลเภาะเข้า ถ้าบริโภคอาหารลงไปเมื่อใด ตัวกระไสยนั้นก็รับเอาอาหารทุกเวลา ถ้ามิได้บริโภคอาหารลงไป ตัวกระไสยนั้นก็กัดเอาชายตับ ชายม้าม เจบปวดยิ่งนัก บางทีให้เมื่อยขบทุกข้อกระดูก บางทีให้ขนชูชันดุจไข้จับดังกล่าวมานี้ ..."
กษัยปู น. กษัยอันเกิดจากอุปปาติกะโรคชนิดหนึ่ง เกิดจากโลหิตจับเป็นก้อน ลักษณะคล้ายปูทะเล เกาะอยู่ในกระเพาะอาหาร ผู้ป่วยมีอาการปวดขบบริเวณท้องและท้องน้อยอย่างรุนแรงเมื่อท้องว่าง เมื่อกินอาหารเข้าไป อาการปวดจะดีขึ้น ดังคัมภีร์กระษัย [๑/๒๐] ตอนหนึ่งว่า "... จะกล่าวลักษณกระไสยโรคอันบังเกิดขึ้นเป็นอุปาติกะ คือกระไสยปูนั้นเปนเคารบ ๔ เกิดเพื่อโลหิตคุมกัน มีสันถานดังปูทเลเข้ากินอยู่ในเภาะเข้ากระทำให้ปวดขบท้องน้อยเปนกำลัง บริโภคอาหารซาบลงไปเมื่อใดค่อยสงบลง ครั้นสิ้นอาหารแล้ว กระทำให้พัดอยู่ดุจดังกงเกวียน ลั่นอยู่ตามลำไส้เจบดังจะขาดใจตาย ..."
กษัยเพลิง น. กษัยชนิดหนึ่ง เกิดจากความผิดปรกติของธาตุไฟ ๓ ประการ ได้แก่ ชิรณัคคี สันตัปปัคคี และปริทัยหัคคี ผู้ป่วยมักมีข้ในเวลาบ่าย ตาแดง ใบหน้า ท้อง และเท้าบวม ตัวเย็นแต่รู้สึกร้อนภายใน จุกแน่นและเจ็บยอดอก เสียดสีข้าง ขยับตัวไม่ได้ ปวดขบมาก เมื่อกินอาหารเข้าไปทำให้ท้องอืด เป็นต้น ดังคัมภีร์กระษัย [๑/๔๒-๔๓] ตอนหนึ่งว่า "... จะกล่าวลักษณกระไสยโรค อันบังเกิดขึ้นเปนอุปาติกะ คือกระไสยเพลิง นั้นเปนเคารบ ๑๕ เกิดเพื่อเตโชธาตุ ๓ ประการคือ อสิตาชิวะชาอรรคี สันตะปักคี ปริไทหัคคี ทั้ง ๓ นี้ ให้เปนเหตุ กระทำให้จับแต่เวลาบ่ายให้จุกษุแดง ให้เจบอยู่ยอดอก มักเป็นฝีมะเรงทรวง ให้บวมหน้าให้บวมท้องให้บวมเท้า ให้ตัวเยนแต่ร้อนในดังเพลิงเผาตั้งเหนือสะดือ ๓ นิ้ว ให้จุกให้แดกในอกให้เสียดสีข้าง จะไหวตัวก็มิได้ดุจปัตฆาฏ ปวดขบเปนกำลัง บริโภคอาหารเข้าไปให้พะอืดพะอมให้ท้องขึ้นแลมิได้เรอมิได้ผายลม ให้แน่นบริโภคอาหารมิได้ ให้เสโทตกทุกเส้นขน ..."
กษัยราก น. กษัยอันเกิดจากอุปปาติกะโรคชนิดหนึ่ง เกิดจากลมในท้อง ผู้ป่วยมีอาการท้องอืด ตึงแน่นไปทั้งร่างกาย มีเสียงลั่นในท้อง อาเจียนลมเปล่า ดังคัมภีร์กระษัย [๑/๑๗] ตอนหนึ่งว่า "... จะกล่าวลักษณกระไสยโรคอันบังเกิดขึ้นเปนอุปาติกะ คือกระไสยรากนั้นเปนเคารบ ๒ บังเกิดเพื่อลมร้อง ให้อาเจียนลมเปล่า แลให้ลั่นอยู่ในอุทรดังจ้อจ้อ แล้วให้ตึงไปทั้งกาย ดุจบุกคลเอาเชือกมารัดไว้ ให้ผู้นันร้องครางอยู่ทั้งกลางวัน กลางคืน มิได้ขาด ดังจะกลัดใจตาย ..."
กษัยล้น น. กษัยอันเกิดจากอุปปาติกะโรคชนิดหนึ่ง ตำราการแพทย์แผนไทยว่า เกิดจากน้ำเหลือง ผู้ป่วยจะมีลมปั่นป่วนอยู่ในท้อง หากเป็นตอนข้างขึ้นจะมีอาการจุกเสียดในอก หากเป็นข้างแรมจะมีอาการปวดถ่วงอย่างรุนแรงบริเวณหัวหน่าว เป็นต้น ดังคัมภีร์กระษัย [๑/๑๖] ตอนหนึ่งว่า "... อันว่ากระไสยล้นนั้นเกิดเพื่อน้ำเหลือง โดยกำลังวาโยพัดให้เปนฟองแลน้ำ กระทำให้ในอุทรนั้นลั่นขึ้น ลั่นลง ถ้าข้างขึ้นให้แดกอก ถ้าข้างแรมให้ถ่วงเหน่าดังจะขาดใจตายดังนี้ ฯ ..."
กษัยลม น. กษัยอันเกิดจากอุปปาติกะโรคชนิดหนึ่ง เกิดจากลมในร่างกายผิดปรกติ ลมทั่วร่างกายมารวมกันที่เหนือสะดือ ผู้ป่วยมีอาการจุกเสียด แน่นหน้าอกมาก หายใจขัด กินอาหารไม่ได้ เสียวแปลบทั่วร่างกาย คล้ายถูกเข็มแทง ดังคัมภีร์กระษัย [๑/๔๘] ตอนหนึ่งว่า "... จะกล่าวลักษณกระไสยโรค อันบังเกิดขึ้นเปนอุปาติกะ คือกระไสยลมประมวนนั้นเปนเคารบ ๑๘ เกิดเพื่ออังคาระวาต ประมวนกันเข้าตั้งเหนือสะดือเท่าผลมะเดื่อ กระทำให้จุกเสียดให้แน่นน่าอกเปนกำลัง แล้วกระทำให้ายใจขัดแลหายใจสอื้น ให้บริโภคอาหารมิได้ ให้เสียวแปลบปลาบไปทุกเส้นข้น ดังบุทคลเอาเมมาแทงลงทั่วทั้งกายดังนี้ ..." ตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ได้แบงสาเหตุและอาการของโรคออกเป็น ๖ ประการ ได้แก่
๑) ลมในลำไส้จับเป็นก้อนแข็ง ทำให้จุกแน่นในอก
๒) ลมนอกลำไส้จับเป็นก้อนแข็ง แล่นเข้าในกระดูก ทำให้เมื่อยในกระดูกไปทั่วทั้งกาย
๓) ลมทั่วทั้งร่างกายเริ่มต้นที่สะดือจับเป็นก้อนกลมขนาดเท่าผลมะเดื่อ ทำให้มีอาการจุก แน่นในอก
๔) ลมอุทรวาต เริ่มที่ปลายเท้า ขึ้นมาถึงศีรษะแล้ววนเข้าไปที่อก และลำไส้ ทำให้เกิดเม็ดขึ้นในลำไส้ลักษณะเป็นฝีรวงผึ้ง
๕) ลมจับตัวกันวิ่งจากปลายเท้าตลอดถึงกระหม่อม แต่พัดไม่ตลอด สะดุดหยุดเป็นที่ ๆ  ขึ้นมาถึงจุดใด ที่ใด ก็เจ็บปวดเพียงจุดนั้น
๖) ลมตามจุดทั้ง ๔ แห่ง คือ ใต้สะดือ เหนือสะดือ ด้านขวา และด้านซ้ายของสะดือ สุดแต่จะตั้งขึ้นที่ใด ลักษณะเป็นฝี คล้ายฝีหัวด้วน ทำให้มีอาการจุกเสียด แน่นหน้าอก หายใจขัด กินอาหารไม่ได้ แสบตามผิวกายไปทั่วทุกขุมขน
ดังคัมภีร์กระษัย [๑๗/๗๔๑] ตอนหนึ่งว่า "... จะกล่าวไกษยจำพวกหนึ่ง เกิดเพื่อลม ๖ จำพวก จำพวกหนึ่งเกิดเพื่อลมในไส้ มันก็ให้เปนนดานกลมเข้าประมาณเท่าลูกในตาล เมื่อมันแก่เข้ามันให้แข็งไปทั้ง ๒ ข้าง แล้วมันให้จุกเสียดแน่นในอก ... ไกษยลมจำพวกหนึ่ง มันเกิดเพื่อนอกไส้แล้วมันแล่นเข้าในกระดูก มันให้เมื่อยทุกกระดูกดังจะแตกจากกัน ... ไกษยลมจำพวกหนึ่งบังเกิดเพื่อลมทั้งกาย แลลมอันนั้นมันก็ประมวญกันเข้า ตั้งอยู่เหนือสดือเท่าลูกมะเดื่อ มันให้จุกเสียดแน่นอกเป็นกำลัง ... ไกษยเกิดเพราะลมอุทรวาตนั้น มันเกิดขึ้นมาแต่ปลายเท้าขึ้นมาถึงสีสะ เมื่อจะเปนเหตุแก่บุทคลผู้นั้น แลลมนั้นมันพัดอยู่แต่เพียงยอดอก มันก็แล่นเข้าในลำไส้ มันก็ให้เปนเม็ดขึ้นในลำไส้ และมันก็ให้เปนฝีรวงผึ้ง มันก็ให้เจ็บปวดพ้นประมาณ ... ไกษยมันเกิดเพื่อลม มันพัดแต่ปลายตลอดถึงกระหม่อมนั้น ลมอันนี้มันพัดไม่ตลอด ตันอยู่เพียงไหนมันให้เจ็บอยู่เพียงนั้นแล ชื่อว่าไกษยลมมันตั้ง ๔ สฐาน ที่ใต้สดือนั้นแห่ง ๑ เหนือสดือนั้นแห่ง ๑ ที่ริมสดือซ้ายขวาตามมันจะตั้งขึ้นแห่งใดแห่งหนึ่ง ๑ ประดุจฝีหัวด้วนนั้น ..."
กษัยลิ้นกระบืด น. กษัยอันเกิดจากอุปปาติกะโรคชนิดหนึ่ง เกิดจากโลหิตจับตัวเป็นลิ่มติดอยู่ที่ขอบตับด้านล่างทำให้ตับแข็งยื่นเลยชายโครงออกมาเหมือนลิ้นกระบือ ผู้ป่วยมีอาการจับไข้เป็นเวลา จุกแน่นในอก กินอาหารไม่ได้ นอนไม่หลับ ร่างกายผอมแห้ง นานเข้าจะมีเลือดและน้ำเหลืองในช่องท้อง ทำให้ท้องโต เรียกว่า มานกษัย ดังคัมภีร์กระษัย [๑/๓๑] ตอนหนึ่งว่า "... จะกล่าวลักษณกระไสยโรคอันบังเกิดขึ้นเปนอุปาติกะ คือ กระไสยลิ้นกระบือนั้นเปนเคารบ ๑๐ บังเกิดเพื่อโลหิต ลิ่มติดอยู่ชายตับเปนตัวแขง ยาวออกมาจากชายโครงข้างขวา มีสันถานดังลิ้นกระบือ กระทำให้ครั่นตัว ให้ร้อนให้จับเปนเวลา ให้จุกให้แน่นอกใหบริโภคอาหารมิได้ ให้นอนมิหลับอยู่เปนนิจ ให้กายนั้นซูบผอมแห้งไป ครั้งแก่เข้าตัวกระไสยแตกออก เปนโลหิตแลน้ำเหลืองให้ซึมไปในไส้ใหญ่ ไส้น้อย ทำให้ไส้พองท้องใหญ่ ดังกล่าวมานี้ จึ่งได้ชื่อว่ามารกระไสย เปนอะสาทิยโรค แพทย์จะเยียวยายากนัก ถ้าแก่แล้วตัวกระไสยแตกออกแก้มิได้เลย ถ้าจะแก้ให้แก้แต่ยังอ่อน ๆ อยู่นั้น บางทีได้บ้างเสียบ้าง ..."
กษัยเลือด, กษัยโลหิต   ดูกษัยกล่อนน้ำ
กษัยเสียด น. กษัยอันเกิดจากอุปปาติกะโรคชนิดหนึ่ง เกิดจากลมตะคริวขึ้นมาจากหัวแม่เท้า ผู้ป่วยมีอาการปวดขบสะดุ้งทั้งตัว เสียดตามชายโครง เป็นต้น ดังคัมภีร์กระษัย [๑/๔๑] ตอนหนึ่งว่า "... จะกล่าวลักษณกระไสยโรคอันบังเกิดขึ้นเปนอุปาติกะ คือกระไสยเสียด  นั้นเปนนเคารบ ๑๔ เกิดเพื่อลมสะคริวขึ้นมาแต่แม่เท้า ขึ้นตามลำเส้นสะคริว กระทำให้ปวดขบสดุ้งทั้งตัว แล้วขึ้นเสียดเอาชายโครงทั้งสองร้องดังจะขาดใจ บางทีให้ขบไปทั่วทั้งตัว แพทย์จะรักหษาให้นวดเสียก่อน ให้คลายแล้วจึ่งแต่งยาให้กินต่อไปดุจดังกล่าวไว้นี้ ..."
กษัยเหล็ก น. กษัยอันเกิดจากอุปปาติกะโรคชนิดหนึ่ง เกิดจากลมอัดแน่นแข็งเป็นดานอยู่ในท้องน้อย ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บปวด ท้องแข็งลามขึ้นไปถึงยอดอก กินอาหารไม่ได้ เป็นต้น ดังคัมภีร์กระษัย [๑/๑๙] ตอนหนึ่งว่า "... จะกล่าวลักษณกระไสยโรคอันบังเกิดขึ้นเปนอุปาติกะ คือ กระไสยเหลกนั้นเปนเคารบ ๓ มีประเภทกระทำให้ปวดหัวหน่าว แลท้องน้อย นั้นแขงดุจดังแผ่นสิลา แลจะไหวตัวไปมาก็มิได้ ครั้นแก่เข้าแขงลาม ขึ้นไปถึงยอดอกแล้วให้บริโภคอาหารมิได้ ให้ปวดขบ ดังจะขาดใจตายดังนี้ ..."
กอก ก. เอาเลือด หนอง หรือลมออกจากร่างกาย หรือดูดเอาน้ำนมออกจากเต้านมโดยใช้ถ้วย กระบอก ฯลฯ เป็นเครื่องดูด
กอง สมุหนามและลักษณนามที่ใช้กับธาตุ สมุฏฐาน หรือโรค เช่น กองปถวีธาตุ กองหทัย กองปิตตะ กองโรค กองไข้ไฟ ๔ กอง ลม ๖ กอง ฯลฯ
กะกลิ้ง ดู โฏฐกะกลิ้ง
กะบังลมพลัด, กะบังลมหย่อน   ดูใน มดลูกเคลื่อน
กะเพาะเข้า ดู กระเพาะข้าว
กะเพาะน้ำ ดู กระเพาะน้ำ
กะเภาะข้าว, กะเภาะเข้า   ดู กระเพาะข้าว
กะเภาะน้ำ ดู กระเพาะน้ำ
กะระ น. ตานจรชนิดหนึ่ง เกิดจากพยาธิ ผู้ป่วยจะมีอาการท้องเสีย อุจจาระสีซีดขาว ซึ่งถ้าได้รับการรักษาทันท่วงทีก็จะหายไป ถ้าไม่หายจะมีผื่นขึ้นเหมือนผดขึ้นทั้งตัว ท้องโต จุกเสียดแน่น ปวดท้อง ซีด ในผู้ป่วยบางคนอาจพบตัวพยาธิไต่ออกมาตามทวารหนักหรือคอหากเป็นมากอาจถึงตายได้ ดังคัมภีร์ประถมจินดา [๒/๗๐] ตอนหนึ่งว่า "... อันว่าลักขณตานจรจำพวกหนึ่ง ชื่อกะระ มีโทษให้ลงท้อง อุจาระนั้นฃาวดุจดังดินสีพอง ครั้นวางยาถูกแล้วก็หยุดไป จึ่งให้พรึงขึ้นทั้งตัวดังยอดผด แล้วให้ตาฟาง แลให้ตาเปนเกลดกระดี่ มักให้กินเกลือกินกปิ อันว่าไส้เดือนจำพวกนี้บังเกิดขึ้นเปนอุปปาติกะ ครู่เดียวยามเดียวก็เตมมไส้ ได้ร้อยตัวพันตัวจึ่งให้ไส้พอง ท้องใหญ่ขึ้นคับอก ใจ อึดอัดอยู่ประมาณ ๗ วัน ตัวมันแก่ขึ้นก็คลานออกทวารหนัก เบา ก็มี ออกทางคอก็มี กระทำให้รากให้จุกเสียด แลขบเอาท้องดังจะขาดใจตาย ..." ดู ตานจร ประกอบ
กะละละ ดู กลละ
กัณห์ประเทศ น. สถานที่ซึ่งมีภูมิประเทศเป็นน้ำจืด น้ำเค็ม และเป็นเปือกตม ตำราการแพทย์แผนไทยว่า มักเป็นที่เกิดของโรคอันเกิดจากเสมหะและลม ดู ประเทศสมุฏฐาน ประกอบ
กานพลู น. ๑. เครื่องยาที่เป็นดอกตูมแห้งของพืชที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Syzygium aromaticum (L.) Merr. et L.M.Perry ในวงศ์ Myrtaceae เครื่องยานี้มีชื่อสามัญว่า clove ตำราสรรพคุณยาไทยว่า กานพลูมีรสเผ็ดร้อนปร่า สรรพคุณกระจายเสมหะ แก้เสมหะเหนียว แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้หืด ทำให้อาหารงวด แก้ปวดฟัน แก้รำมะนาด แก้ปวดท้อง แก้ลม แก้เหน็บชา แก้พิษโลหิต พิษน้ำเหลือง ขับน้ำคาวปลา ทำอุจจาระให้ปรกติ แก้ธาตุทั้ง ๔ พิการ แก้ท้องเสีย กดลมให้ลงสู่เบื้องต่ำ, กรานพูล กรามพูล กรานพลู หรือกรามพลู ก็เรียก
๒. พืชที่่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Syzygium aromaticum (L.) Merr. et L.M.Perry ในวงศ์ Myrtaceae เรือนยอดเป็นกรวยคว่ำใบเดียว เรียงตรงข้าม รูปใบหอก รูปรีแคบ หรือรูปไข่ กลับแคบ ๆ  มีต่อมน้ำมันมาก ช่อดอกแบบช่อเชิงหลั่นออกที่ปลายยอด ผลรูปไข่กลับแกมรี แก่จัดสีแดง
กายโรโค [กายะโรโค] น. กลุ่มโรคหรืออาการซึ่งเกิดขึ้นที่ตัวเรียกตามสมุฏฐานเบญจอินทรีย์ แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ พหิทโรโค (พาหิรโรโค) เป็นกลุ่มโรคหรืออาการซึ่งเกิดขึ้นภายนอก เช่น เกลื้อน บาดแผล และอันตโรโค เป็นกลุ่มโรคหรืออาการซึ่งเกิดขึ้นภายใน เช่น ฝีในท้อง ริดสีดวงมหากาฬ (มาจากคำ กาย แปลว่า ตัว และ โรโค แปลว่า โรค)
การบูร น. ๑. เครื่องยาชนิดหนึ่ง เป็นผลึกเล็ก ๆ  ใส โปร่งแสงหรือสีขาว เมื่อทิ้งไว้บางส่วนอาจจับเป็นก้อน มีกลิ่นหอมฉุนเฉพาะตัว มีรสขมเล็กน้อย ร้อนปร่า แล้วตามด้วยความรู้สึกเย็น อาจได้จากแก่นของพืชที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cinnamomum camphora (L.) J.Presl ในวงศ์ Lauraceae แต่ปัจจุบันมักได้จากการสังเคราะห์ทางเคมี โดยเริ่มต้นจากสายแอลฟา-ไพนีน (a-Pinene) ในน้ำมันสน (turpentine oil) ได้เป็นการบูร (dl-camphor) ซึ่งเป็นสารผสมแรซีมิก (racemic mixture) เครื่องยานี้มีชื่อสามัญว่า camphor ตำราสรรพคุณยาไทยว่า มีสรรพคุณบำรุงธาตุ ทำให้อาหารงวด ขับลม ขับเสมหะ แก้ธาตุพิการ แน่นจุกเสียด ปวดท้อง ขับลมในลำไส้ กระจายลมทั้งปวด แก้คัน แก้ปวดตามเส้น แก้เคล็ดขัดยอก บวม แก้ปวดข้อ แก้ปวดเส้นประสาท แก้พิษแมลงกัดต่อย กระตุ้นหัวใจ แก้อาการหน้ามืด
๒. พืชที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cinnamomum camphora (L.) J.Presl ในวงศ์ Lauraceae เป็นไม้ต้น ชื่อสามัญว่า camphor tree หรือ Japanese camphor tree ทุกส่วนมีกลิ่นหอม โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่รากและโคนต้นจะมีกลิ่นหอมมากกว่าส่วนอื่น ๆ  ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปไข่กว้าง หรือรูปรี ช่อดอกแบบช่อแยกแขนง ออกตามซอกใบ ดอกเล็กสีเหลืองอ่อน โคนเชื่อมติดกันเป็นหลอดสั้น ๆ  ผลแบบผลผนังชั้นในแข็ง ค่อนข้างกลม สีเขียวเข้ม ผลสุกสีดำ มี ๑ เมล็ด
กาล [กาน, กาละ-] น. เวลา คราว ครั้ง หน ในทางการแพทย์แผนไทย เวลาเป็นที่ตั้งหรือที่แรกเกิดของโรค ดังคัมภีร์สมุฏฐานวินิจฉัย [๑๔/๓๖๑] ตอนหนึ่งว่า "... อนึ่ง อันว่าเสมหะกำเริบนั้น ในกาลเมื่อเช้าก็ดี เมื่อบริโภคอาหารแล้วก็ดี ในเมื่อพลบค่ำก็ดี เป็นกระทรวงกาลสมุฏฐานเสมหะกระทำ ..."
กาล ๓ น. การกำหนดเวลาในรอบ ๑ วัน เป็นเวลากลางวัน ๓ ช่วง และเวลากลางคืน ๓ ช่วง ช่วงละ ๔ ชั่วโมง
โดยเวลากลางวันแบ่งเป็น
ช่วงที่ ๑ นับตั้งแต่เวลาย่ำรุ่ง (๐๖.๐๐ น.) ถึง ๔ โมงเช้า (๑๐.๐๐ น.)
ช่วงที่ ๒ นับตั้งแต่เวลา ๔ โมงเข้า (๑๐.๐๐ น.) ถึงบ่าย ๒ โมง (๑๔.๐๐ น.)
และช่วงที่ ๓ นับตั้งแต่เวลาบ่าย ๒ โมง (๑๔.๐๐ น.) ถึงย่ำค่ำ (๑๘.๐๐ น.)
ส่วนเวลากลางคืนแบ่งเป็น
ช่วงที่ ๑ นับตั้งแต่เวลาย่ำค่ำ (๑๘.๐๐ น.) ถึง ๔ ทุ่ม (๒๒.๐๐ น.)
ช่วงที่ ๒ นับตั้งแต่เวลา ๔ ทุ่ม (๒๒.๐๐ น.) ถึงตี ๒ (๐๒.๐๐ น.)
และช่วงที่ ๓ นับตั้งแต่เวลาตี ๒ (๐๒.๐๐ น.) ถึงย่ำรุ่ง (๐๖.๐๐ น.)
แต่ละช่วงเวลาเป็นที่ตั้งแห่งการเกิดโรคอันเกิดจากสมุฏฐานต่าง ๆ  เช่น เวลากลางวันช่วงที่ ๑ มักทำให้เกิดความเจ็บป่วยเนื่องจากสมุฏฐานเสมหะ
กาล ๔ น. การกำหนดเวลาในรอบ ๑ วัน เป็นเวลากลางวัน ๔ ช่วง และเวลากลางคืน ๔ ช่วง ช่วงละ ๓ ชั่วโมง
โดยเวลากลางวันแบ่งเป็น
ช่วงที่ ๑ นับตั้งแต่เวลาย่ำรุ่ง (๐๖.๐๐ น.) ถึง ๓ โมงเช้า (๐๙.๐๐ น.)
ช่วงที่ ๒ นับตั้งแต่เวลา ๓ โมงเช้า (๐๙.๐๐ น.) ถึงเที่ยงวัน (๑๒.๐๐ น.)
ช่วงที่ ๓ นับตั้งแต่เวลาเที่ยงวัน (๑๒.๐๐ น.) ถึงบ่าย ๓ โมง (๑๕่.๐๐ น.)
และช่วงที่ ๔ นับตั้งแต่เวลาบ่าย ๓ โมง (๑๕.๐๐ น.) ถึงย่ำค่ำ (๑๘.๐๐ น.)
ส่วนเวลากลางคืนแบ่งเป็น
ช่วงที่ ๑ นับตั้งแต่เวลาย่ำค่ำ (๑๘.๐๐ น.) ถึงยาม ๑ (๒๑.๐๐ น.)
ช่วงที่ ๒ นับตั้งแต่ยาม ๑ (๒๑.๐๐ น.) ถึงยาม ๒ (๒๔.๐๐ น.)
ช่วงที่ ๓ นับตั้งแต่เวลายาม ๒ (๒๔.๐๐ น.) ถึงยาม ๓ (๐๓.๐๐ น.)
และช่วงที่ ๔ นับตั้งแต่ยาม ๓ (๐๓.๐๐ น.) ถึงย่ำรุ่ง (๐๖.๐๐ น.)
แต่ละช่วงเวลาเป็นที่ตั้งแห่งการเกิดโรคอันเกิดจากสมุฏฐานต่าง ๆ  เช่น เวลากลางวันช่วงที่ ๑ มักทำให้เกิดความเจ็บป่วยเนื่องจากสมุฏฐานอาโปพิกัดเสมหะ
กาลตรีโทษ [กานตรีโทด] น. ช่วงเวลาที่กองสมุฏฐานทั้ง ๓ กอง ได้แก่ ปิตตะ วาตะ และเสมหะ ร่วมกันกระทำให้เกิดโทษ
กาลทุวรรณโทษ, กาลทุวันโทษ [กานทุวันโทด] น. ช่วงเวลาที่กองสมุฏฐานปิตตะ วาตะ หรือเสมหะ ๒ ใน ๓ กองสมุฏฐานร่วมกันกระทำให้เกิดโทษ
กาลสมุฏฐาน [กานสะหมุดถาน, กาละสะหมุดถาน] น. เวลาเป็นที่ตั้งหรือที่แรกเกิดของโรค ตำราการแพทย์แผนไทยแบ่งเวลาในรอบ ๑ วัน เป็น กาลกลางวัน และ กาลกลางคืน ทั้งกาลกลางวันและกาลกลางคืนยังอาจแบ่งย่อยออกเป็น ๓ ช่วง เรียก กาล ๓ หรือ ๔ ช่วง เรียก กาล ๔ ดู กาล ๓, กาล ๔ และ สมุฏฐาน ประกอบ
กาลสุกระโรค [กานสุกะระโรก] น. ริดสีดวงประเภทหนึ่ง เกิดในทวารหนัก ผู้ป่วยจะมีเลือดสด ๆ  หรือมูกปนเลือดเก่า แสบร้อน คัน เมื่อยตามร่างกาย และข้อกระดูก ดังตำรายาศิลาจารึกในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม [๔/๒๗๗] ตอนหนึ่งว่า "... ลำดับนีจะกล่าวด้วยนัยหนึ่งใหม่ ว่าด้วยลักษณะหฤศโรค อันชื่อว่ากาลสุกร กล่าวคือโรคริดสีดวง อันบังเกิดขึ้นในทร่วงอุจจาระนั้นเป็นคำรบ ๑๘ มีลักษณะอาการกระทำให้โลหิตสด ๆ  ตกออกมา บางทีเป็นโลหิตช้ำระคนกับเสมหะหุ้มห่อตกออกมาก็มีบ้าง ให้แสบร้อน ให้คันให้เมื่อยทุกข้อกระดูกและสรรพางค์กาย ดุจกล่าวมานี้ฯ ...". สุกระโรคก็เรียก ดู ริดสีดวง ประกอบ
กาลเอกโทษ [กานเอกกะโทด] น. ช่วงเวลาที่กองสมุฏฐานปิตตะ วาตะ หรือเสมหะ กองใดกองหนึ่ง กระทำให้เกิดโทษ
กาลาทิจร, กาลาธิจร น. ยาแผนไทยขนาดนหนึ่ง ใช้แก้เตโชธาตุพิการ มีตัวยา วิธีปรุง วิธีใช้ และสรรพคุณ ดังคัมภีร์ธาตุวิภังค์ [๑/๑๑๖] ตอนหนึ่งว่า "... ถ้าจะแก้เอาโกฎสอ ๑ โกฎพุงปลา ๑ ดีปลี ๑ แห้วหมู ๑ เปลือกมูกมัน ๑ ผลผักชี ๑ อบเชย ๑ สะค้าน ๑ ขิง ๑ ผลเอน ๑ ลำพัน ๑ ยาทั้งนี้เสมอภาคตำผงละลายน้ำร้อน น้ำผึ้งก็ได้ กินแก้เตโชธาตจุพิการ ยานี้ชื่อกาลาทิจร แล ..."
กาโลทุก, กาโลทุกข์ ดูใน แม่ซื้อ
กำด้น น. ท้ายทอย ส่วนที่คอกับศีรษะต่อกัน
กำเดา ดูใน สมุฏฐานปิตตะ
กำมะถันเขียว ดู จุนสี
กำยาน น. เครื่องยาจำพวกชันน้ำมันชนิดหนึ่ง ได้จากการกรีดเปลือกต้นของพืชสกุล Styrax วงศ์ Styracaceae บางชนิด เช่น ชนิด S. tonkinessis (Pierre) Craib ex Hartwick เป็นไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีชื่อสามัญว่า benzoin กกำยานคุณภาพดีมีสีขาว ตำราสรรพคุณยาไทยว่า มีรสฝาดหอม สรรพคุณบำรุงหัวใจ ขับปัสสาวะ สมานแผล เป็นต้น
กำยานญวน ดู กำยานหลวงพระบาง
กำยานสุมาตรา น. กำยานที่ได้จากพืช ๒ ชนิด คือ Styrax benzoin Dryander หรือชนิด S. paralleroneurus Perkins พืชนี้พบใน ๔ จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย กำยานสุมาตรามีชื่อสามัญทางการค้าว่า Sumatra benzoin ดู กำยาน ประกอบ
กำยานหลวงพระบาง น. กำยานที่ได้จากพืชชนิด Styrax tonkinensis (Pierre) Craib ex Hartwick พืชชนิดนี้ไม่พบในประเทศไทย แต่พบและปลูกมากบริเวณรอบอ่าวตังเกี๋ย กำยานหลวงพระบางเป็นกำยานชนิดดีที่สุด มีชื่อสามัญทางการค้าว่า Siam benzoin (เนื่องจากในอดีตเป็นผลผลิตที่ส่งออกสู่ตลาดโลกจากสยามประเทศ), กำยานญวน ก็เรียก ดู กำยาน ประกอบ
กิมิชาติ น. หนอน หมู่หนอน พยาธิ
กิโลมกัง [กิโลมะกัง] น. พังผืด เป็นองค์ประกอบ ๑ ใน ๒๐ สิ่งของธาตุดิน
กุจฉิสยาวาตา [กุดฉิสะยาวาตา] น. ลมพัดในท้องแต่พัดนอกลำไส้ เป็นองค์ประกอบ ๑ ใน ๖ ชนิดของธาตุลม
เกลือตัวผู้ น. เครื่องยาธาตุวัตถุชนิดหนึ่ง เป็นเกลือทะเลที่มีลักษณะเป็นเม็ดโตและยาว ในทางเคมีเป็นโซเดียมคลอไรด์ (sodium chloride, NaCl) มีรสเค็ม ตำราสรรพคุณยาไทยว่า บำรุงธาตุทั้งสี่ แก้ดีพิการ แก้โรคท้องมาน แพทย์แผนไทยใช้แทรกยา ใช้กรีดฝีเย็บเพื่อช่วยทำคลอด
เกลือตัวเมีย น. เครื่องยาวัตถุชนิดหนึ่ง เป็นเกลือทะเลที่เป็นเม็ดขนาดเล็ก กลม และป้อม ในทางเคมีเป็นโซเดียมคลอไรด์ (sodium chloride, NaCl) มีรสเค็ม ตำราสรรพคุณยาไทยว่า บำรุงธาตุทั้งสี่ แก้ดีพิการ แก้โรคท้องมาน แพทย์แผนไทยอาจใช้แทรกยาแทนเกลือตัวผู้ โดยทั่วไปใช้ปรุงอาหาร
เกลือทั้งสอง น. จุลพิกัดประเภทต่างเพศพวกหนึ่ง ประกอบด้วยเกลือตัวผู้และเกลือตัวเมียในปริมาณเท่ากันโดยน้ำหนัก
เกศา น. ผม เป็นองค์ประกอบ ๑ ใน ๒๐ สิ่งของธาตุดิน
โกฎิ, โกฏ, โกฏฐ์ ดู โกฐ
โกฏฐาสยาวาตา [โกดถาสะยาวาตา] น. ลมพัดในลำไส้และกระเพาะอาหาร เป็นองค์ประกอบ ๑ ใน ๖ ชนิดของธาตุลม
โกฏวิเสศ ดู โกฐพิเศษ
โกฐ น. ๑ เครื่องยาพวกหนึ่ง มักเป็นของที่มาจากต่างประเทศ ใช้ในปริมาณน้อย แต่มีสรรพคุณสูง เช่น โกฐเชียง โกฐสอ โกฐหัวบัว โกฐเขมา โกฐจุฬาลัมพา
๒ พิกัดยาประเภทหนึ่ง แพทย์แผนไทยแบ่งพิกัดโกฐออกเป็น ๔ พวก คือ โกฐทั้ง ๕ โกฐทั้ง ๗ โกฐทั้ง ๙ และโฏฐพิเศษ มีสรรพคุณโดยรวมสำหรับแก้ไข้ แก้หืด แก้ไอ ทำให้หัวใจชุ่มชื่น กระจายลม แก้เสียดแทงสองราวข้าง แก้ลมในกองธาตุ, เขียนว่า โกฎิ โกฏ โกฏฐ์ โกด หรือ โกษฐ์ ก็มี [มาจาก Kushta ในภาษาทิบบี ซึ่งเป็นภาษาถิ่นในเปอร์เซีย แปลว่า ฆ่า (โรค) ปราบ (โรค) หรือกำจัด (โรค)]
โกฐกระดูก น. เครื่องยาชนิดหนึ่ง เป็นรากแห้งของพืชที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Saussurea lappa C.B.Clarke ในวงศ์ Asteraceae (Compositae) มีชื่อสามัญทางการค้าว่า aucklandia, costus, kut, kut root, kuth, kuth root หรือ saussurea เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี ใบเดี่ยวเรียงเวียน รูปสามเหลี่ยม ช่อดอกแบบช่อกระจุกแน่น ออกตามปลายกิ่งหรือตามซอกใบ ผลแบบผลแห้ง เมล็ดล่อน แบนโค้ง แพปพัส (pappus) สีน้ำตาล ตำราสรรพคุณยาไทยว่า มีรสขม หวาน มัน ระคนกัน รู้แก้เสมหะและลม แก้หืด หอบ แก้ลมในกองเสมหะ บำรุงหัวใจให้ชุ่มชื่น บำรุงกระูก (จ. มู่เซียง, บักเฮียง)
โกฐกะกลิ้ง น. เครื่องยาชนิดหนึ่ง เป็นเมล็ดแก่แห้งของต้นแสลงใจ ซึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Strychnos nuxvomica L. ในวงศ์ Strychnaceae มีชื่อสามัญว่า dog button, poison nut,  หรือ quaker button เป็นไม้ต้น ผลัดใบ แต่ผลิใบใหม่ไว ลำต้้นและกิ่งมักคดงอ เปลือกเรียบ สีเทามักมีประสีเหลือง ใบเดี่ยว เรียงตรงข้ามหรือเยื้องกันเล็กน้อย ช่อดอกแบบช่อกระจุกแยกแขนง ดอกสีขาวหรือสีขาวแกมสีเขียวอ่อน ผลกลม เกลี้ยง ผิวหนาและแข็ง ผลสุกสีส้มถึงแดง เมล็ดมีจำนวนมาก รูปกลมแบนคล้ายกระดุม ขอบนอกนูน มีขนสีนวลเหลือบสีเทาปกคลุมหนาแน่นคล้ายกำมะหยี่ ตำราสรรพคุณยาไทยว่าโกฐกะกลิ้งมีรสเมาเบื่อ ขมจัด สรรพคุณบำรุงธาตุ บำรุงหัวใจให้เต้นแรง แก้อัมพาต แก้อิดโรย แก้ไข้ เจริญอาหาร ขับน้ำย่อย แก้โรคในปากในคอ ขับพยาธิ ขับปัสสาวะ แก้พิษงู พิษแมงป่อง พิษตะขาบ แก้ลมพานไส้ แก้ริดสีดวงทวาร แก้เหน็บชา แก้กระษัย แก้ปวดเมื่อย จัดเป็นโกฐชนิดหนึ่งในพิกัดโกฐพิเศษ ๓ ชนิด ร่วมกับโกฐกักกราและโกฐน้ำเต้า, เม็ดกะจี้ เม็ดกาจี้ กะกลิ้ง เม็ดตูมกาดง เม็ดแสงเบื่อ เม็ดแสลงใจ เม็ดแสลงเบือ เม็ดแสลงเบื่อ เม็ดแสลงโทน หรือ เม็ดแสลงทม ก็เรียก (จ. หม่าเฉียนจื่อ, แบไจ่จี้, กะจี้ หรือ กาจี้)
โกฐกักกรา น. เครื่องยาชนิดหนึ่ง เป็นปุ่มหูด (gall) ที่เกิดจากใบของพืชที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pistachia chinensis Bunge subsp. integerrima (Stewartex) Rech.f. ในวงศ์ Pistachiaceae มีชื่อสามัญทางการค้าว่า Pistachia gall เป็นไม้ต้น ผลัดใบ เปลือกสีเทาเข้มหรือเกือบดำ ใบประกอบแบบขนนอกปลายคี่หรือคู่เรียงเวียน ใบย่อยเรียงตรงข้าม รูปใบหอก ดอกแยกเพศต่างต้น ช่อดอกแบบช่อแยกแขนง ออกตามซอกใบ ดอกเล็ก ไม่มีกลีบดอก ผลแบบผลเมล็ดเดียวแข็ง เมื่อสุกสีส้มแล้วเปลี่ยนเป็นสีม่วง ตำราสรรพคุณยาไทยว่า มีสรรพคุณแก้ลมอันทำให้คลื่นเหียน แก้ดีพิการ แก้ริดสีดวงงอกในทวารทั้ง ๙ จัดเป็นโกฐชนิดหนึ่งในพิกัดโกฐพิเศษ ๓ ชนิด (ร่วมกับโกฐกะกลิ้งและโกฐน้ำเต้า), โกฐกักกะตรา โกฐกักตรา หรือโกฐกัตรา ก็เรียก (อ. crab's claw, ฮ. kakra, ส. kakrasingi, karkatashringi)
โกฐกักกะตรา, โกฐกักตรา, โกฐกัตรา ดู โกฐกักกรา
โกฐก้านพร้าว น. เครื่องยาชนิดนหึ่ง เป็นเหง้าและรากแห้งของพืชที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Picrorhiza kurrooa Royle et Benth. ในวงศ์ Scrophulariaceae มีชื่อสามัญทางการค้าว่า Katuka เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี เหง้ายาว ทอดเลื้อย สีน้ำตาลแกมสีเทา รากอวบ ใบเดี่ยว เรียงเวียน ใบใกล้โคนต้นรูปช้อนหรือรูปรีแคบออกเป็นกระจุก ช่อดอกแบบช่อกระจะ ก้านช่อดอกโดด ออกที่ปลายต้น รูปกึ่งทรงกระบอก ผลแบบผลแห้ง มีกลีบเลี้ยงติดทน ตำราสรรพคุณยาไทยว่า ใช้แก้ไข้เรื้อรังและแก้ไข้ที่มีอาการสะอึกร่วมด้วย แก้เสมหะเป็นพิษ จัดอยู่ในพิกัดโกฐทั้ง ๗ และโกฐทั้ง ๙, โกฐก้านมะพร้าว ก็เรียก (ส. katki, katurohini, kutki, อ. picrorhiza rhizome and root)
โกฐก้านมะพร้าว ดู โกฐก้านพร้วา
โกฐกุสุมภ์ ดู คำฝอย
โกฐขี้แมว น. เครื่องยาชนิดหนึ่ง เป็นรากแห้งของพืชที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Rehmannia glutinosa (Gaertn.) Libosch. ex Fisch. et C.A.Mey ในวงศ์ Scrophulariaceae มีชื่อสามัญทางการค้าว่า Rehmannia root เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี ทั้งต้นมีขนอุยทั้งชนิดมีต่อมและไร้ต่อมปกคลุมหนาแน่น รากอวบหนา รูปกระสวย เมื่อสดสีส้ม ใบเดี่ยว ใบที่โคนต้นเรียงเวียนเป็นกระจุก ใบที่อยู่สูงขึ้นไปเรียงเวียนห่าง ๆ  รูปไข่กลับแกมรูปใบหอกถึงรูปรีแคบ ช่อดอกแบบช่อกระจะ ออกตามซอกใบหรือปลายยอด ด้านนอกสีแดงแกมสีม่วง ด้านในสีส้มแกมสีเหลือง ผลแบบผลแห้งแตกกลางพู สีแดง ตำราสรรพคุณยาไทยว่าใช้เป็นยาเย็นและยาแก้ช้ำใน (จ. ตี้หวง, ตี่อึ้ง, อ. Chinese foxglove root, glutinous rehmannia root)
โกฐเขมา [โกดขะเหมา] น. เครื่องยาชนิดหนึ่ง เป็นเหง้าแห้งของพืชที่่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Atractylodes lancea (Thunb.) DC. ในวงศ์ Asteraceae (Compositae) มีชื่อสามัญว่า Rhizoma Atractylodes หรือ Atractylodes rhizome เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี เหง้าทอดนอนหรือตั้งขึ้น มีรากพิเศษขนาดเท่า ๆ  กันจำนวนมาก ลำต้นขึ้นเดียวหรือเป้นกระจุก ใบเดี่ยว เรียงเวียน แผ่นใบบางคล้ายกระดาษ มีหลายรูปแบบ ขอบมีขนครุยหรือหยักซี่ฟัน ช่อดอกแบบช่อกระจุกแน่น มี ๑ ถึงหลายช่อออกที่ปลายกิ่ง ดอกสีขาว เป็นดอกสมบูรณ์เพศหรือดอกเพศเมียที่มีเกสรเพศผู้ลดรูป กลีบเลี้ยงเป็นขนสีน้ำตาลถึงสีขาวหม่น ผลแบบแห้งเมล็ดล่อน รูปไข่กลับ ตำราสรรพคุณยาไทยว่า มีกลิ่นหอม รสร้อน ใช้เป็นยาบำรุงธาตุ เป็นยาบำรุง ใช้แก้โรคในปากในคอ ระงับอาการหอบ แก้หวัด คัดจมูก แก้ไข้ แก้ลมตะกัง แก้เหงื่อออกมาก แก้ไข้รากสาดเรื้อรัง จัดเป็นโกฐชนิดหนึ่งในพิกัดโกฐทั้ง ๕ โกฐทั้ง ๗ และโกฐทั้ง ๙, โกฐหอม ก็เรียก (จ. ซังตุ๊ก, ชางจู๋, อ. Atractylodes black rhizome)
โกฐจุลา ดู โกฐจุฬาลัมพา, โกฐจุฬาลำพา
โกฐจุฬารศ,  โกฐจุฬารส น. เครื่องยาชนิดหนึ่ง เป็นใบแห้งของพืชที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Eucalyptus globulus Labill ในวงศ์ Myrtaceae มีชื่อสามัญว่า blue gum เป็นไม้ต้นขนาดใหญ่ เปลือกต้นเรียบ สีเหลืองนวลถึงสีเทา ใบเดียว ใบอ่อนรูปไข่ เรียงตรงข้าม ใบแก่รูปใบหอกหรือรูปเคียว เรียงสลับ คล้ายแผ่นหนัง มีต่อมน้ำมันทั้ง ๒ ด้าน ดอกแบบช่อซี่ร่ม ผลแห้งแตก รูปเกือบกลม เป็นไม้พื้นเมืองของประเทศออสเตรเลีย คัมภีร์สรรพคุณลักษณะสรรพคุณแลมหาพิกัดว่า ใช้กระจายบุพโพอันเป็นก้อน และฆ่าพยาธิที่เกิดจากไส้ด้านไส้ลาม เมื่อนำมากลั่นจะได้น้ำมันโกฐจุฬารศ หรือ น้ำมันยูโคาลัปตัส ใช้เป็นยาธาตุ ขับลม บรรเทาอาการหวัด ขับเสมหะ ใช้ทาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ช่วยให้ไม่เกิดการพุพอง
โกฐจุฬาลัมพา,  โกฐจุฬาลำพา น. เครื่องยาชนิดหนึ่ง เป็นส่วนเหนือดินแห้งที่เก็บในระยะออกดอกของพืชที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Artemisia annua L. ในวงศ์ Asteraceae (Compositae) มีชื่อสามัญว่า sweet wormwood herb เป็นไม้ล้มลุกอายุปีเดียว แตกกิ่งมาก ทั้งต้นมีกลิ่นแรง มีขนประปราย หลุดร่วงง่าย ใบเดี่ยว เรียงเวียน มีต่อมโปร่งแสง ขอบใบหยักลึก ช่อดอกแบบช่อแยกแขนงรูปพีระมิดกว้าง ช่อย่อยแบบช่อกระจุกแน่น สีเหลืองถึงสีเหลืองเข้ม ผลแบบผลแห้งเมล็ดล่อน ตำราสรรพคุณยาไทยว่า แก้ไข้เจลียง (ไข้จับวันเว้นวัน) แก้ไข้ ลดเสมหะ แก้หืด แก้ไอ ใช้เป็นยาขับเหงื่อ จัดเป็นโกฐชนิดหนึ่งในพิกัดโกฐทั้ง ๕ โกฐทั้ง ๗ และโกฐทั้ง ๙, โกฐจุฬาลำพาจีน หรือ โกฐจุลา ก็เรียก (จ. ชิงฮาว, แชเฮา)
โกฐจุฬาลำพาจีน ดู โฏฐจุฬาลัมพา, โกฐจุฬาลำพา
โกฐเชียง น. เครื่องยาชนิดหนึ่ง เป็นรากแขนงแห้งของพืชที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Angelica sinensis (Oliv.) Diels ในวงศ์ Apiaceae (Umbelliferae) มีชื่อสามัญว่า Chinese angelica เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี รากอวบหนา รูปทรงกระบอก แยกเป็นนรากแขนงหลายราก มีกลิ่นหอมมาก ลำต้นสีเขียวแกมสีม่วง มีร่องตามยาว แตกกิ่งตอนบน ใบหยักลึกแบบขนนก รูปไข่ ช่อดอกแบบช่อซี่ร่มเชิงประกอบออกตามปลายกิ่งหรือซอกใบ มีช่อย่อยขนาดไม่เท่ากัน ดอกสีขาวหรือสีแดงแกมสีม่วง ผลแบบผลแห้งแยก รูปรี รูปไข่ รูปไข่กลับ หรือเกือบกลม สันด้านล่างหนาแคบ ด้านข้างมีปีกบาง กว้างเท่ากับความกว้างของผล อาจมีหรือไม่มีท่อน้ำมันตามร่อง ตำราสรรพคุณยาไทยว่า มีกล่ินหอม รสหวานขม มีสรรพคุณแก้ไข้ แก้สะอึก แก้เสียดแทงราวข้าง จัดเป็นโกฐชนิดหนึ่งในพิกัดโกฐทั้ง ๕ โกฐทั้ง ๗ และโกฐทั้ง ๙ (จ. กุยเหว่ย, กุยบ้วย)
โกฐเชียงเทศ น. เครื่องยาชนิดหนึ่ง เป็นรากและลำต้นใต้ดินแห้งของพืชที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cimicifuga racemosa (L.) Nutt. ในวงศ์ umbelliferae มีชื่อสามัญว่า black cohosh หรือ black snakeroot เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี ใบประกอบงอกจากเหง้า ดอกเป็นช่อแยกแขนง กลีบดอกรูปขอบขนาน สีขาว ลแตกแนวเดียว เมล็ดรูปครึ่งวงกลม สีน้ำตาล เป็นไม้พื้นเมืองของทวีปอเมริกาเหนือบริเวณชายฝั่งตะวันออก คัมภีร์สรรพลักษณะสรรพคุณแลมหาพิกัดว่า ใช้แก้ไข้เพื่อกำเดา ให้หนาวให้ร้อนให้ระส่ำระสาย ให้ท้องขึ้น กินอาหารมิได้ ให้เหงื่อตก ให้หอบ ในต่างประเทศใช้บรรเทาอาการร้อนวูบวาบ เหงื่อออกมากตอนกลางคืนในสตรีวัยหมดระดู
โกฐทั้ง ๕ น. พิกัดยาพวกหนึ่ง ประกอบด้วยโกฐเชียง โกฐสอ โกฐหัวบัว โกฐเขมา และโกฐจุฬาลัมพา รวม ๕ สิ่ง ในปริมาณเท่ากันโดยน้ำหนัก ตำราสรรพคุณยาไทยว่ามีรสสุขุม สรรพคุณโดยรวมแก้ไข้ แก้ไข้เพื่อเสมหะ แก้หืดไอ แก้โรคปอด แก้โรคในปาก ชูกำลัง บำรุงโลหิต และแก้ลมในกองธาตุ, เบญจโกฐ ก็เรียก
โกฐทั้ง ๗ น. พิกัดยาพวกหนึ่ง ประกอบด้วยโกฐเชียง โกฐสอ โกฐหัวบัว โกฐเขมา โกฐจุฬาลัมพา โกฐก้านพร้าว และโกฐกระดูก รวม ๗ สิ่ง ในปริมาณเท่ากันโดยน้ำหนักตำราสรรพคุณยาไทยว่า มีรสสุขุม สรรพคุณโดยรวมแก้ไข้ แก้ไข้เพื่อเสมหะ แก้หืดไอ แก้โรคปอด แก้โรคในปาก ชูกำลัง บำรุงโลหิต แก้ลมในกองธาตุ แก้ไข้เรื้อรัง แก้หอบสะอึก และบำรุงกระดูก, สัตตโกฐ สัตตะโกฏ หรือสับดโกฏิ ก็เรียก
โกฐทั้ง ๙ น. พิกัดยาพวกหนึ่ง ประกอบด้วยโกฐเชียง โกฐสอ โกฐหัวเบา โกฐเขมา โกฐจุฬาลัมพา โกฐกระดูก โกฐก้านพร้าว โกฐพุงปลา และโกฐชฎามังสี รวม ๙ สิ่ง ในปริมาณเท่ากันโดยน้ำหนัก ตำราสรรพคุณยาไทยว่ามีรสสุขุม สรรพคุณโดยรวมแก้ไข้ แก้หืดหอบไอ แก้ไข้จับสั่น แก้พิษร้อน แก้ลมเสียดแทงชายโครง กระจายลมในกองริดสีดวง แก้ลมในกองเสมหะ แก้สะอึก แก้ไข้ในกองอติสาร แก้โรคในปาก กระจายหนอง ฆ่าพยาธิ แก้ไส้ด้วนไส้ลาม ขับโลหิตร้ายอันเกิดแต่กองปิตตะสมุฏฐาน, เนาวโกฐ หรือ นวโกฐ ก็เรียก
โกฐนษินี น. เครื่องยาชนิดหนึ่ง เป็นเมล็ดแห้งของพืชที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Psoralea corylifolia L. ในวงศ์ Fabaceae (Leguminosae) เป็นไม้ล้มลุกอายุปีเดียว ใบเดี่ยว ดอกออกตรงซอกใบ เป็นช่อกระจุกหรือช่อกระจะสั้น กลีบดอกสีขาวปนสี่ม่วง ฝักรูปไข่ เมล็ดเล็ก รูปไต สีน้ำตาลเข้ม ตำราสรรพคุณยาไทยว่า ใช้บรรเทาอาการหอบหืด แก้ท้องเสีย ใช้เป็นยาเจริญอาหาร ในตำราการแพทย์อายุรเวทของอินเดียใช้น้ำมันจากมเล็ดทาแก้โรคสะเก็ดเงินและผิวหนังอักเสบ
โกฐน้ำเต้า น. เครื่องยาชนิดนหึ่ง เป้นเหง้าและรากแห้งของพืชชนิดใดชนิดหนึ่งใน ๓ ชนิด คือ ชนิดที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Rheum officinale Baill., ชนิด R. palmatum L. หรือชนิด R. tanguticum (Maxim. ex Regel) Maxim. ex Balf. ในวงศ์ Polygonaceae มีชื่อสามัญว่า medicinal rhubarb พืชทั้ง ๓ ชนิดนี้เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี ราก เหง้า และลำต้น อ้วนสั้น ใบเรียงเวียน ออกเป็นกระจุก รูปค่อนข้างกลม มีหูบใบเป็นปลอกขนาดใหญ่ ช่อดอกแบบช่อแยกแขนง ออกตามซอกใบและปลายกิ่ง ดอกสีขาวอมเหลือง เมื่อติดผลกิ่งผลจะถ่างมาก ผลแบบผงแห้งเมล็ดอ่อน รูปขอบขนานแกมรี มีสามมุมแหลมเป็นปีก ตำราสรรพคุณยาไทยว่า มีสรรพคุณขับลมลงสู่คูถทวาร ทำให้อุจจาระปัสสาวะเดินสะดวก เป็นยาระบายชนิด "รู้เปิดรู้ปิด" หมอพื้นบ้านนำมานึ่งให้สุก แล้วตากแดดให้แห้ง ผสมเป็นยาระบาย ใช้แก้อาการท้องผูก โรคริดสีดวงทวาร จัดเป็นโกฐชนิดหนึ่งในพิกัดโกฐพิเศษ ๓ ชนิด (ร่วมกับโกฐกะกลิ้ง และโกฐกักกรา) (อ. rhubarb, จ. ต้าหวง, ตั่วอึ้ง)
โกฐพิเศษ น. พิกัดยาพวกหนึ่ง มีโกฐ ๓ ชนิด คือ โกฐกะกลิ้ง โกฐกักกรา และโกฐน้ำเต้า ตำราสรรพคุณยาไทยให้ใช้แทรกในตำรับยาตามข้อบ่งใช้และสรรพคุณของยาแต่ละขนานและของโกฐทั้ง ๓ ชนิด ตามแต่แพทย์จะเลือกใช้, โกฏวิเสศ ก็เรียก
โกฏพุงปลา น. เครื่องยาชนิดนหึ่ง เป็นปุ่มหูดเกิดจากใบหรือกิ่งอ่อนของต้นสมอไทยที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Terminalia chebula Retz ในวงศ์ Combretaceae มีชื่อสามัญว่า Terminalia galll หรือ myrobalan gall เป็นไม้ต้น ผลักใบ ลำต้นค่อนข้างเปลา ไม่มีพูพอนหรืออาจมีบ้างเล็กน้อยช่วงโคนต้น เปลือกหนา ขรุขระ สีน้ำตาลแก่ ค่อนข้างดำ แตกปริเป็นร่องลึกตามยาว เปลือกในสีน้ำตาลแดง กิ่งอ่อนและยอดอ่อนมีขน สีน้ำตาลแดง ใบเดี่ยว เรียงตรงข้ามหรือเยื้องกันเล็กน้อย รูปรี รูปไข่ หรือรูปไข่แกมรูปขอบขนานโคนมนและมักเบี้ยวเล็กน้อยขอบใบใกล้โคนใบมีตุ่มหูด ๑ คู่ ปลายเป็นติ่งแหลม เนื้อใบค่อนข้างหนา ช่อดอกแบบช่อเชิงชด ออกเป็นช่อยาวบริเวณรอยแผลใบใกล้ปลายกิ่ง ไม่แยกแขนง ดอกเป็นดอกสมบูรณ์เพศ ผลรูปกลมป้อมหรือรูปกระสวย อาจมีพูหรือสันตามยาวหรือไม่มีสัน ผลแก่สีเขียวอมเหลือง เมื่อแห้งจะเปลี่ยนเป็นสีดำ เมล็ดรูปรี ผิวขรุขระ ตำราสรรพคุณยาไทยว่ามีรสฝาดจัด สรรพคุณแก้อุจจาระธาตุพิการ แก้อติสาร แก้บิดมูกเลือด คุมธาตุ แก้ไข้จากลำไส้อักเสบ แก้ไข้พิษ แก้พิษทำให้ร้อน แก้อาเจียน แก้เสมหะพิการ แก้เม็ดยอดภายใน สมานแผล จัดเป็นโกฐชนิดหนึ่งในพิกัดโกฐทั้ง ๙, ปูดกกส้มมอ ก็เรียก
โกฐสอ น. เครื่องยาชนิดหนึ่ง เป็นากแห้งของพืชชนิดหนึ่งที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Angelica dahurica (Fisch. ex Hoffm.) Benth. et Hook.f. ex Franch. et Sav. ในวงศ์ Apiaceae (Umbelliferae) ซึ่งมี ๒ พันธุ๋ คือ A. dahurica (Fisch. ex Hoffm.) Benth. et Hook.f. ex Franch. et Sav. var. dahurica กับ A. dahurica (Fisch. ex Hoffm.) Benth. et Hook.f. ex Franch. et Sav. var. formosana (H.Boissieu) Yen. มีชื่อสามัญทางการค้าว่า Dahurian angelica root เ็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี รากอวบใหญ่ เนื้อแข็ง รูปกรวยยาว มีกลิ่นหอมจัด ลำต้นตั้งตรง เป็นร่องตามยาว สีเขียวแกมสีม่วง ใบประกอบแบบขนนก ๒-๓ ชั้น เรียงเวียนรูปไข่แกมรูปสามเหลี่ยมโคนแผ่นเป็นกาบ ช่อดอกแบบช่อซี่ร่มเชิงประกอบ ออกตามง่ามใบและปลายกิ่ง ผลแบบผลแห้งแยก รูปรีกว้าง ถึงเกือบกลม ด้านล่างแบนราบ สันด้านล่างหนากว่าร่อง สันด้านข้างแผ่เป็นปีกกว้าง ตามร่องมีท่อน้ำมัน ๑ ท่อ ตามสันมีท่อน้ำมัน ๒ ท่อ ตำราสรรพคุณยาไทยว่า มีกลิ่นหอม รสขมมัน สรรพคุณแก้ไข้ แก้หืด แก้ไอ ทำให้หัวใจชุ่มชื่น จัดเป็นโกฐชนิดหนึ่งในพิกัดโกฐทั้ง ๕ โกฐทั้ง ๗ และโกฐทั้ง ๙, โกฐสอจีน ก็เรียก (จ. ป๋ายจื่อ, แปะจี้) 
โกฐสอจีน ดู โกฐสอ
โกฐสอเทศ น. เครื่องยาชนิดหนึ่ง เป็นเหง้าที่ปอกเปลือกแล้วทำให้แห้งของพืช ๒ ชนิด คือ ชนิดที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Iris germanica L. หรือชนิด I. pallida Lam. ในวงศ์ Iridaceae มีชื่อสามัญว่า orris หรือ orris root พืชทั้ง ๒ ชนิดนี้เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี เหง้าอวบ ยาว ออกตามแนวนอน ผิวสีน้ำตาลอ่อน เนื้อในสีขาวนวลถึงสีขาวแกกมเหลือง แตกแง่งเป็นเนื้อเดียวกัน มีรากมาก ลำต้นตัน ตั้งตรง ใบเดี่ยว ใบที่อยู่ใกล้เหง้าเรียงซ้อนหุ้มสลับระนาบเดียว ช่อดอกแบบช่อกระจะด้านเดียว ออกที่ปลายต้นหรือตามซอกใบ ช่อย่อยที่ปลายมี ๒-๓ ดอก ช่อย่อยอื่นมี ๑-๒ ดอกดอกมีกลิ่นหอม สีม่วงแกมน้ำเงิน เหลือง น้ำตาล หรือขาว กลีบเลี้ยงมี ๓ กลีบ กางหรือโค้งลง รูปไข่กลับ ผลแบบผลแห้งแตกรูปไข่ มี ๓ พู เมล็ดรูปไข่ ผิวย่น สีน้ำตาลแกมแดง เรียงช่องละ ๒ แถว ตำราสรรพคุณยาไทยใช้เป็นเครื่องยาสิ่งหนึ่งในตำรับยาแก้เตโชธาตุพิการ แก้ลมทั้งปวง เป็นต้น
โกฐหอม ดู โกฐเขมา
โกฐหัวบัว น. เครื่องยาชนิดหนึ่ง เป็นเหง้าแห้งของพืชที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ligusticum sinense Oliv. cv. chuanxiong ในวงศ์ Apiaceae (Umbelliferae) มีชื่อสามัญว่า Sichuan lovage, Sichuan lovage rhizome, Szechwan lovage, Szechwan lovage rhizome เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี เหง้า ค่อนข้างกลม ผิวเป็นปุ่มปม มีข้อป่องและปล้องสั้น ลำต้นตั้งตรง ใบเรียงเวียนใบใกล้โคนต้นรูปไข่แกมรูปสามเหลี่ยม โคนก้านแผ่เป็นกาบ ขอบใบหยักลึกแบบขนนก ๑-๓ ชั้น แฉกปลายสุดรูปไข่แกมรูปขอบขนาน ขอบจักฟันเลื่อนไม่สม่ำเสมอ ส่วนใบบนต้นรูปคล้ายใบใกล้โคนต้น แต่ลดรูป ไม่มีก้านใบ ขอบหยักแบบขนนกชั้นเดียว พืชนี้เป็นพันธุ์ปลูก ไม่พบดอก ตำราสรรพคุณยาไทยว่ามีกลิ่นหอม รสมัน สรรพคุณแก้ลมในกองริดสีดวง และกระจายลมทั้งปวง ยาไทยมักไม่ใช้เป็นยาเดี่ยว แต่มักใช้ร่วมกับเครื่องยาอื่นในตำรับยา จัดเป็นโกฐชนิดหนึ่งในพิกัดโกฐทั้ง ๕ โกฐทั้ง ๗ และโกฐทั้ง ๙ (จ. ชวนซวอง, ชวนเกียง)
โกฐหัวบัวน้อย น. เครื่องยาชนิดหนึ่ง ได้จากพืชชนิดเีดยวกับโกฐหัวบัว แต่เป็นสายพันธุ์พืชปลูกที่ให้เหง้าขนาดเล็ก ที่มีขายตามท้องตลาดมักเป็นเหง้าแห้งทั้งเหง้า
โกฐหัวบัวใหญ่ น. เครื่องยาชนิดหนึ่ง ได้จากพืชชนิดเดียวกับโกฐหัวบัว แต่เป็นสายพันธุ์ปลูกที่ให้เหง้าขนาดใหญ่ ที่มีขายตามท้องตลาดมักฝานเป็นแผ่นบาง ๆ
โกด, โกษฐ์ ดู โกฐ
ไกษย ดู กษัย

ข้อมูลจาก พจนานุกรม ศัพท์แพทย์และเภสัชกรรมแผนไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พิมพ์ครั้งที่ ๒
อ่านต่อ...

วันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2557

กระเจี๊ยบแดง (Krachiap daeng)

Hibiscus sabdariffa L.
วงศ์ : MALVACEAE
ชื่อสามัญ Roselle, Jamaica sorrel
ชื่ออื่น : กระเจี๊ยบเปรี้ยว (ภาคกลาง) ส้มพอเหมาะ ผักเก็งเค็ง ส้มเก็งเค็ง (ภาคเหนือ) ส้มพอดี (ภาคอีสาน) ส้มตะเลงเครง (ตาก) ใบส้มม่า (ระนอง) ส้มปู (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน)



ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
     กระเจี๊ยบแดงเป็นไม้ล้มลุกอายุปีเดียว สูง 1-2 ม. เปลือกต้นเรียบ ลำต้นและกิ่งสีม่วงแดง
     ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ใบหยักเว้าลึก 3-5 แฉก แต่ละแฉกกว้าง 0.5-3 ซม. ยาว 3-8 ซม. โคนใบมน ปลายใบแหลม ก้านใบยาว 4-15 ซม.
     ดอก ออกเดี่ยวตามซอกใบ มีริ้วประดับสีแดง กลีบเลี้ยงโคนเชื่อมติดกัน ปลายแยก 5 แฉก สีแดงเข้ม อวบน้ำ กลีบดอก 5 กลีบ สีเหลืองตรงกลางดอกสีม่วงแดง เกสรเพศผู้จำนวนมาก
     ผล รูปไข่ สีแดงเข้ม มีกลีบเลี้ยง ติดทนขนาดใหญ่รองรับอยู่จนผลแก่ ผลแห้งแตกได้ เมล็ดสีน้ำตาลจำนวนมาก

สรรพคุณ
     เมล็ด เป็นยาแก้อ่อนเพลีย บำรุงกำลัง บำรุงธาตุ แก้ดีพิการ ขับปัสสาวะ
     ทั้งต้น เป็นยาฆ่าตัวจี๊ด นำมาใส่หม้อต้ม น้ำ 3 ส่วน เคี่ยวไฟให้งวด เหลือ 1 ส่วน ผสมกับน้ำผึ้งครึ่งหนึ่ง รับประทานวันละ 3 เวลา หรือรับประทานน้ำยาเปล่า ๆ  จนหมดน้ำยา
     กลีบเลี้ยง ชงกับน้ำรับประทานเพื่อลดความดัน ลดไขมนในเลือด ทำแยม



ข้อมูลจาก หนังสือพฤกษชาติสมุนไพร ศูนย์พัฒนาตำราการแพทย์แผนไทย มูลนิธิการแพทย์แผนไทยพัฒนา
รูปจาก tree2go.com, oknation.net, siripatclinic.blogspot.com, samunpri.com
อ่านต่อ...

กระแจะ (Krachae)

Naringi crenulata (Roxb.) Nicolson
(Syn. Limonia crenulata Roxb., Hesperethusa crenulata (Roxb.) Roem.)
วงศ์ : RUTACEAE
ชื่ออื่น : พญายา (ภาคกลาง ตุมตัง (ภาคกลาง, ราชบุรี) กระแจะจัน ขะแจะ (ภาคเหนือ) คะนาว (มอญ)


ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
     กระแจะเป็นไม้ต้นผลัดใบ สูง 2-10 ม. เปลือกต้นสีน้ำตาลอ่อนออกเขียว แตกเป็นร่องตามยาวหรือเป็นสะเก็ดขนาดเล็ก ตามกิ่งมีหนามแหลมยาว
     ใบ เป็นใบปรกอบแบบขนนกปลายคี่ ออกเรียงสลับ ใบย่อยมี 1-3 คู่ รูปรีหรือรูปไข่ กว้าง 1.3-3.4 ซม. ยาว 1-9 ซม. ปลายใบแหลมหรือมน โคนใบสอบ ขอบใบจักมน แผ่นใบเรียบ สีเขียว ผิวใบมีต่อมน้ำมัน แกนกลางใบและก้านใบแผ่เป็นปีกทั้งสองด้าน ก้านใบยาว 1-6 ซม.
     ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบหรือตามกิ่งด้านข้าง ดอกสีขาวอมเหลือง กลีบเลี้ยงมี 4 กลีบ กลีบดอก 4 กลีบ มีต่อมน้ำมัน เกสรเพศผู้มี 8 อัน
     ผล รูปทรงกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.7-1.2 ซม. ผิวเรียบ มีต่อมน้ำมัน เมล็ดเล็กสีน้ำตาลมี 1-4 เมล็ด

"...ใบเหมือนจิ้งจกตัวใหญ่..."

สรรพคุณ 
     ใบ เป็นยาแก้ลมบ้าหมู
     ราก เป็นยาถ่าย ขับเหงื่อ รักษาโรคลำไส้ ฝนทาทำให้หน้านวลเหลือง
     แก่น ดองกับสุรากินแก้กระษัย โลหิตพิการ ดับพิษร้อน แก้ไข้ บดเป็นผงทาผิว อาจผสมขมิ้น เรียก แป้งทานาคา
     ผลแห้ง เป็นยาบำรุง แก้ไข้ แก้พิษ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย
     เปลือกต้น รสหอมสุขุม แก้ไข้ ขับผายลม

ข้อมูลจาก หนังสือพฤกษชาติสมุนไพร ศูนย์พัฒนาตำราการแพทย์แผนไทย มูลนิธิการแพทย์แผนไทยพัฒนา

อ่านต่อ...

วันพุธที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2557

กะเพรา (Kaprao)

Ocimum tenuiflorum L. (Syn. O. sanctum L.)
วงศ์ : LAMIACEAE (LABIATAE)
ชื่อสามัญ Holy basil, Sacred basil
ชื่ออื่น : กะเพราขน กะเพราขาว กะเพรา (ภาคกลาง) กอมก้อ กอมก้อดง (เชียงใหม่) อีตู่ไทย (ภาคอีสาน)



ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
     กะเพราเป็นไม้พุ่ม สูง 30-60 ซม. โคนต้นค่อนข้างแข็ง กะเพราแดงลำต้นสีแดงอมเขียว ส่วนกะเพราขาวลำต้นสีเขียวอมขาว ยอดอ่อนมีขนสีขาว
     ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกัน รูปรี กว้าง 1-3 ซม. ยาว 2.5-5 ซม. ปลายใบมนหรือแหลม โคนใบแหลม ขอบใบจักเป็นฟันเลื่อย แผ่นใบสีเขียว มีขนสีขาว
     ดอก ออกเป้นช่อที่ปลายยอด ดอกสีขาวแกมม่วงแดงมีจำนวนมาก กลีบเลี้ยงโคนเชื่อมติดกัน ปลายเรียวแหลม ด้านนอกมีขน กลีบดอกแบ่งเป็น 2 ปาก ปากบนมี 4 แฉก ปากล่างมี 1 แฉก ปากล่างยาวกว่าปากบน มีขนประปราย เกสรเพศผู้มี 4 อัน
     ผล เป็นผลแห้ง เมื่อแตกออกจะมีเมล็ด สีดำ รูปไข่

สรรพคุณ
     ใช้ทั้งต้น เป็นยาขับลม แก้ปวดท้อง ท้องเสีย และคลื่นไส้อาเจียน
     รากและต้น มีรสเผ็ดร้อน แก้พิษตานซาง แก้ไข้สันนิบาต แก้ท้องขึ้น ท้องอืด ท้องเฟ้อ บำรุงธาตุ
     ใบ มีรสเผ็ดร้อน บำรุงไฟธาตุ แก้ปวดท้อง ขับผายลม ทำให้เรอ แก้จุกเสียด แก้คลื่นไส้อาเจียน น้ำคั้นจากใบ กินขับเหงื่อ แก้ไข้ ขับเสมหะ ทาผิวหนัง แก้กลากเกลื้อน ใบสดหรือแห้ง ชงกับน้ำร้อนดื่มบำรุงธาตุ ขับลมในเด็กอ่อน
     เมล็ด มีรสเผ็ดร้อน กินบำรุงเนื้อหนังให้ชุ่มชื่น

ข้อมูลจาก หนังสือพฤกษชาติสมุนไพร ศูนย์พัฒนาตำราการแพทย์แผนไทย มูลนิธิการแพทย์แผนไทยพัฒนา
รูปจาก gotoknow.org
อ่านต่อ...

พญามูลเหล็ก (Phaya mun lek)

Strychnos lucida R.Br.
วงศ์ : STRYCHNACEAE
ชื่ออื่น : พญามือเหล็ก (ภาคกลาง) เสี้ยวดูก (ภาคเหนือ) ยามือเหล็ก (กระบี่) กะพังอาด



ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
     พญามูลเหล็กเป็นไม้พุ่มกึ่งไม้ต้นขนาดเล็ก สูง 4-10 ม.
     ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามกัน รูปไข่ กว้าง 2.5-4 ซม. ยาว 4-6 ซม. ปลายใบและโคนใบมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบ สีเขียว
     ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบ ดอกย่อยสีเขียวอ่อนมีขนาดเล็ก
     ผล เป็นผลสด รูปทรงกลม เมล็ดกลม แบน

สรรพคุณ
     ใบ ตำพอกแก้ฟกบวม
     เมล็ดและเปลือกต้น เป็นยารักษาอหิวาตกโรค บำรุงกำลัง
     เนื้อไม้ มีรสเบื่อเมา ขมเล็กน้อย ฝนน้ำให้ข้น กินครั้งละ 1 ถ้วยชา แก้ไข้ทุกชนิด แก้กระษัยโลหิต ทาหัวเด็กที่โกนผมทำให้เย็น ไม่มีรังแค แก้ค้น
     แก่น บดรวมกับใบฟ้าทะลาย เถาบอระเพ็ด รากหนอนตายหยาก และผิวมะกรูดผสมน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอน กินครั้งละ 2 เม็ด เช้า-เย็น แก้เบาหวาน





ข้อมูลจาก หนังสือพฤกษชาติสมุนไพร ศูนย์พัฒนาตำราการแพทย์แผนไทย มูลนิธิการแพทย์แผนไทยพัฒนา
รูปจาก piromwaroon.blogspot.com
อ่านต่อ...

วันอังคารที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2557

กระเบาใหญ่ (Krabao yai)

Hydnocarpus anthelminthicus Pierre ex Laness.
วงศ์ : FLACOURTIACEAE
ชื่อสามัญ Chaulmoogra tree
ชื่ออื่น : มะกูลอ (ภาคเหนือ) กระเบาน้ำ กระเบาข้าวเหนียว กะเบา กระเบาข้าวแข็ง กระตงดง (เชียงใหม่) ดงกะเปา (ลำปาง) เบา (ภาคใต้) หัวค่าง (ประจวบคีรีขันธ์) กาหลง กุลา (ปัตตานี) กระเบาตึก (เขมร)



ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
     กระเบาใหญ่เป็นไม้ต้น สูง 10-15 ม. เปลือกต้นเรียบสีเทา
     ใบ เป้นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปรียาวแกมรูปขอบขนาน กว้าง 3-6 ซม. ยาว 10-20 ซม. ปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบสีเขียวเข้มเป็นมัน เนื้อใบค่อนข้างหนา
     ดอก ดอกแยกเพศอยู่คนละต้น หรือดอกแยกเพศต่างต้นแกมดอกสมบูรณ์เพศ ดอกเพศผู้ออกเดี่ยวตามซอกใบ สีชมพู มีกลิ่นหอม กลีบเลี้ยงมี 5 กลีบ มีขน กลีบดอกมี 5 กลีบ ดอกเพศเมียออกเป็นช่อสั้น ๆ  ตามซอกใบ ดอกมีลักษณะคล้ายกับดอกเพศผู้
     ผล รูปทรงกลม ผลใหญ่ เปลือกแข็ง ผิวมีขนคล้ายกำมะหยี่ สีน้ำตาล เมล็ดรูปรีเบี้ยว ปลายมนทั้งสองข้าง

สรรพคุณ
     ใบ รสเมาเบื่อ แก้กลากเกลื้อน และฆ่าพยาธิบาดแผล
     ผล รสเมาเบื่อมัน แก้โรคผิวหนัง เรื้อนและมะเร็ง
     เมล็ด รสเมาเบื่อมัน แก้โรคผิวนหัง หุงเป็นน้ำมันทาภายนอก ทาผม และรักษาโรคผมร่วง และใช้รักษาโรคเอดส์
     รากและเนื้อไม้ รสเมาเบื่อ ฆ่าพยาธิผิวหนังต่าง ๆ  รักษาแผล แก้เสมหะเป็นพิษ และดับพิษทั้งปวง




ข้อมูลจาก หนังสือพฤกษชาติสมุนไพร ศูนย์พัฒนาตำราการแพทย์แผนไทย มูลนิธิการแพทย์แผนไทยพัฒนา
รูปจาก magnoliathailand.com, lumphaya.stkc.go.th
อ่านต่อ...

กระทิง (Krathing)

Calophyllum inophyllum L.
วงศ์ : CLUSIACEAE (GUTTIFERAE)
ชื่อสามัญ Alexandrian laurel
ชื่ออื่น : กระทึง กากะทิง กากระทึง (ภาคกลาง) สารภีแนน (ภาคเหนือ) เนาวนาน (น่าน) ทิง (กระบี่) สารภีทะเล (ประจวบคีรีขันธ์)



"...ดอกกระทิงยิ่งล้ำ     หอมยวน 
เสน่ห์รื่นเร้าอวล     กลิ่นฟ้อง 
ทยอยเบ่งบานชวน     เฝ้าแอบ  แนบเฮย 
รังไข่กระจิบจ้อง     ยั่วเย้าผสมพันธุ์..."

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
     กระทิงเป็นไม้ต้น สูงได้ถึง 20 ม. แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มกลม เปลือกต้นเรียบสีน้ำตาลเข้ม มียางสีเหลืองอมเขียว
     ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามกัน รูปรียาว กว้าง 5-8 ซม. ยาว 10-20 ซม. ปลายใบมนหรือเว้าตื้น ๆ  โคนใบแหลม ขอบใบเรียบ แผ่นใบหนาเรียบเกลี้ยง สีเขียวเข้มเป็นมัน ด้านล่างสีอ่อนกว่า ก้านใบยาว 1-2 ซม.
     ดอก ออกเป็นช่อสั้นตามซอกใบและปลายกิ่ง ดอกสีขาว กลีบเลี้ยงสีขาวมี 4 กลีบ กลีบดอกสีขาวมี 4 กลีบ ดอกบานเต็มที่กว้างประมาณ 2 ซม. เกสรเพศผู้มีจำนวนมาก
     ผล รูปทรงค่อนข้างกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.5 ซม. เปลือกหนา ผลอ่อนสีเขียว พอสุกเป็นสีเหลือง เมล็ดเดี่ยว

"...เส้นทางใบเป็นเส้น ๆ  คล้ายใบตอง ใบคล้ายใบสารภี แต่ใบมัน..."

สรรพคุณ
     ดอก มีรสหอมเย็น เป็นยาบำรุงหัวใจ
     เมล็ด มีรสเมาร้อน หุงเป็นน้ำมัน ทาแก้ปวดข้อ เคล็ดขัดยอก บวม
     ใบ มีรสเมาเย็น แก้ตาแดง ตาฝ้า ตามัว





ข้อมูลจาก หนังสือพฤกษชาติสมุนไพร ศูนย์พัฒนาตำราการแพทย์แผนไทย มูลนิธิการแพทย์แผนไทยพัฒนา, นายกิ้น สิงห์เคอาร์ ศิลปินเดี่ยวล้านนาด้านเพลงกำเมือง
รูปจาก phargarden.com
อ่านต่อ...